Wednesday, September 30, 2009

กรมป่าไม้ทดสอบพารามอเตอร์ในการสำรวจพะยูน

กรมป่าไม้ทดสอบพารามอเตอร์ในการสำรวจพะยูน


ระหว่างวันที่ 16-21 มีนาคม ศกนี้ โครงการรักษ์พะยูน โดยกรมป่าไม้ ได้ทำการทดลองใช้ พารามอเตอร์ที่ได้รับการบริจาคจาก บ. Nation Multimedia Group และภาคเอกชนอื่นๆ ในการสำรวจและศึกษาวิจัยพะยูนซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวนหนึ่งในสิบห้าชนิดของไทย (รวมถึงกูปรีที่ได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยและสมันที่ได้สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้แล้ว) บริเวณจังหวัดตรัง พื้นที่ที่ทำการทดลองได้แก่บริเวณแหล่งพะยูนในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง ที่ซึ่งเป็นแหล่งหญ้าทะเลขนาดใหญ่และเป็นแหล่งอาศัยของนกหลายแสนตัว และแหล่งอาศัยของพะยูนที่ใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่ของไทย แต่เนื่องจากการใช้พารามอเตอร์เป็นแนวคิดใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครในโลกทำมาก่อน อีกทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ยังขาดความชำนาญในการใช้เครื่องที่เพิ่งได้รับมาหมาดๆ กรมป่าไม้จึงได้ขอความร่วมมือไปยังสมาคมกีฬาการบินแห่งประเทศไทย ในการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคการบิน และได้รับความสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทางสมาคม โดยได้ส่งสมาชิกของสมาคมจากชมรมกีฬาการบินอินทรีอิสาน ที่มากด้วยประสบการณ์จำนวนสามท่าน บินตรงมาจากจังหวัดอุดรธานี เพื่อมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับคณะสำรวจของกรมป่าไม้อย่างใกล้ชิด


ในการทดลองได้ใช้ทั้งการศึกษาจากพารามอเตอร์แบบหนึ่งที่นั่งและสองที่นั่ง ในการนี้ชนิดหนึ่งที่นั่งมีความคล่องตัวสูงเหมาะกับการสำรวจ และศึกษาข้อมูลอย่างกว้างๆและใช้ผู้ช่วยในการทำการบินขึ้นน้อย ส่วนชนิดสองที่นั่งสามารถให้ผลการศึกษาที่ต่อเนื่องและเชื่อถือได้ดีกว่า เนื่องจากผู้บังคับเครื่องและผู้ทำการเก็บข้อมูลทำงานเฉพาะในส่วนของตน ทำให้มีสมาธิและเก็บข้อมูลได้อย่างต่อเนื่อง แต่การนำเครื่องขึ้นต้องมีผู้ช่วยมากเพราะเครื่องมีขนาดใหญ่ และต้องใช้ผู้มีประสบการณ์สูงเป็นผู้ขับขี่เครื่อง ผลจากการทดลองพบว่าการใช้พารามอเตอร์สำรวจและศึกษาพะยูนได้ข้อมูลเป็นที่น่าพอใจ นักบินสามารถบินในเส้นทางและลักษณะวิธีการบินได้ตามที่กำหนดในวิธีการวิจัย ส่วนนักวิจัยที่ขึ้นไปกับเครื่องก็สามารถเก็บข้อมูลจากทางอากาศได้ตามต้องการ ในการทดลองครั้งนี้ได้ทดลองสำรวจพะยูนบริเวณชายฝั่งตอนใต้ของเกาะลิบงขณะน้ำเริ่มขึ้น พบพะยูนจำนวนสิบสองตัว เริ่มเข้ามาหากินในแหล่งหญ้าตามระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น และท่วมแหล่งหญ้าจนมีความลึกพอที่พะยูนจะเข้ามาหากินหญ้าได้

นอกจากจำนวนพะยูนที่พบแล้ว พารามอเตอร์ยังมีข้อดีกว่าอากาศยานทั่วไปคือมีความเร็วต่ำ ทำให้นักวิจัยมีเวลามากพอที่จะสังเกตพฤติกรรมต่างๆของพะยูนได้อย่างต่อเนื่อง ในการนี้เราพบพะยูนว่ายอยู่ท่ามกลางหมู่เรือของชาวประมงที่กำลังดำหาหอยและปลิงอย่างใกล้ชิด พะยูนส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มว่ายมาจากแหล่งพักผ่อนตามร่องน้ำปากคลองกันตัง เข้าสู่แหล่งหญ้า บางตัวก็ยังมาไม่ถึงแหล่งหญ้า แต่บางตัวก็กำลังสบายใจกับการกินหญ้าทะเล โดยเห็นได้จากตะกอนที่ฟุ้งกระจายจากการเป่าตะกอนออกจากหญ้าก่อนการกินของพะยูน บางตัวอาจจะสบายใจกับการพลิกตัวไปมาซึ่งนักวิจัยก็ยังไม่เข้าใจถึงพฤติกรรมของพะยูนในเรื่องนี้นัก


ในการทดลองนี้ ยังได้มีนักวิจัยจากประเทศมาเลเซีย (Miss Leela Cassia) ผู้ซึ่งทำการศึกษาพะยูนในประเทศมาเลเซีย มาร่วมสังเกตการณ์วิธีการสำรวจของกรมป่าไม้เพื่อนำไปใช้ในมาเลเซียเป็นการทดแทนการสำรวจโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง และจากการที่ได้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ของไทยทำให้ Miss Leela มีความสนใจในการใช้พารามอเตอร์เป็นอย่างมาก


หลังจากการทดลองซึ่งได้ผลเป็นที่พอใจในครั้งนี้แล้ว กรมป่าไม้ มีแผนที่จะฝึกเจ้าหน้าที่ให้มีความชำนาญและปรับปรุงสถานที่ขึ้นลงพารามอเตอร์ให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยจะปรับปรุงให้สามารถขึ้นลงได้ตลอดเวลาแทนการขึ้นจากชายหาดซึ่งต้องอาศัยเฉพาะเวลาที่ระดับน้ำขึ้นไม่มากนัก อีกทั้งการจัดหาวัสดุ และอะไหล่ที่เสื่อมสภาพไปจากการใช้งานอย่างหนักในขณะนี้ และในปีนี้ก็มีแผนที่จะสำรวจพะยูนที่อาจหลงเหลืออยู่ในอ่าวไทย โดยใช้ฐานข้อมูลเดิมที่กรมป่าไม้ได้สำรวจไว้แล้วจากการสัมภาษณ์ชาวประมงชายฝั่งทั่วประเทศในปีก่อนๆ และพบว่าเราอาจมีพะยูนหลงเหลืออยู่ในบริเวณจังหวัดระยอง ชุมพรและสุราษฎร์ธานี เพื่อทำการอนุรักษ์ก่อนที่จะสายเกินไป



ภาพที่ 1 นัก บินขณะกำลังนำร่มบิน ขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่มบินไม่มีล้อ แต่ใช้การวิ่งของนักบินแทน ทำให้ขึ้น ลงได้ในพื้นที่ที่มีลักษณะขรุขระได้




















ภาพที่ 2 ลักษณะของร่มบินแบบสองที่นั่ง คนข้างหน้าทำหน้าที่เก็บข้อมูล คนข้างหลังคือนักบิน

ภาพที่ 3 ร่มบินแบบสองที่นั่งขณะบินสำรวจพะยูน เหนือแนวหญ้าทะเล
ภาพที่ 4 ปลายแหลมจูโหย เกาะลิบง จังหวัดตรัง เป็นจุดที่มีพะยูนมากที่สุดของประเทศไทย เป็นที่ตั้งของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง กรมป่าไม้ แนวหญ้าทะเลมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแนวสีคล้ำๆ บนหาดทรายและใต้ทะเล มองเห็นได้ชัดจากทางอากาศ (ศรชี้)
ภาพที่ 5 แม่และลูกพะยูนที่
เห็นได้จากทางอากาศกำลังว่ายเข้าสู่แนวหญ้าทะเลเพื่อหาอาหาร






















































































































































พะยูนคืออะไร


พะยูนคืออะไร


พะยูนมีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยหลายชื่อ
คือปลาหมู หมูดุด ดุหยง
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dugong หรือ Sea Cow
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon
พะยูน คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งเช่นเดียวกันกับมนุษย์ พะยูนอาศัยอยู่ในทะเลบริเวณชายฝั่งที่น้ำมีความลึกไม่มากนัก บรรพบุรุษของพะยูนเคยอาศัยอยู่บนบกแต่เริ่มมีวิวัฒนาการลงไปอาศัยอยู่ในน้ำตั้งแต่เมื่อประมาณ 60 ล้านปีก่อน ทำให้ พะยูนมีการวิวัฒนาการรูปร่างให้เหมาะกับการอาศัยอยู่ในน้ำ คือมีรูปทรง กระสวยคล้ายโลมาแต่ อ้วนป่องกว่าเล็กน้อย ผิวหนังเรียบลื่นถึงแม้ว่า พะยูนจะมีรูปร่างภายนอกคล้ายโลมาแต่พะยูนกลับมีวิวัฒนาการ มาสายเดียวกับช้าง พะยูนกินพืชเป็นอาหารและมีเต้านมอยู่บริเวณขาหน้าเช่นเดียวกับช้างแต่โลมามีเต้านมอยู่บริเวณ ด้านท้ายและกินสัตว์เป็นอาหาร เมื่ออายุยังไม่มากพะยูนมีผิวสีเทาเมื่อโตและแก่มากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐ แต่พอแก่มากขึ้นอีกจะมีรอยด่างสีขาวเกิดขึ้น โดยเฉพาะด้านหลังอาจเป็นปื้นขนาดใหญ่ มองเห็นได้ชัดเจนจากระยะไกล ขาด้านหน้ามีขนาดสั้นและเปลี่ยนรูปไปคล้ายใบพายใช้สำหรับการช่วยบังคับทิศทางหรือเอาไว้เดินขณะอยู่ที่พื้นทะเล ขาหลังลดรูปจนหายไปหมดเหลือเพียง กระดูกชิ้นเล็กๆอยู่ภายในลำตัว ส่วนท้ายเป็นครีบสองแฉกวางแนวระนาบคล้ายหางโลมาใช้โบกขึ้นลงเพื่อการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า พะยูนต้องหายใจด้วยปอดเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ รูจมูกมีสองรูตั้งอยู่บริเวณปลายด้านบน ของปากเพื่อให้ขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำได้โดยไม่ต้องโผล่ส่วนอื่น ขึ้นมาด้วยเมื่อดำน้ำจะมีแผ่นหนังมาปิดปากรูไว้เพื่อกันน้ำเข้าปากมีขนาดใหญ่มีขนแข็งๆ ขึ้นเป็นจำนวนมากมีความแข็งแรงสำหรับการขุดหรือไถไปตามพื้นทะเลเพื่อกินหญ้าทะเล เป็นอาหาร

พะยูนมีความเป็นอยู่อย่างไร
พะยูนส่วนใหญ่ชอบอาศัยรวมกันอยู่เป็นฝูงตามชายฝั่งทะเลโดยเฉพาะบริเวณปากแม่น้ำ ที่มีแหล่งหญ้าทะเลซึ่งเป็นอาหารหลักของพะยูนเป็นอาหาร พะยูนหาอาหารทั้งกลางวันและกลางคืนโดยเมื่อน้ำขึ้นพะยูนจะรวมกลุ่มกันเข้ามากินหญ้าทะเลที่ขึ้นเป็นแนวอยู่บริเวณน้ำตื้น จนกระทั่งน้ำเริ่มลงพะยูนก็จะกลับไปหลบอาศัยอยู่บริเวณร่องน้ำที่อยู่ใกล้เคียงและรอที่จะกลับเข้ามาเมื่อน้ำขึ้น อีกครั้งหนึ่ง
ชีวิตครอบครัวของพะยูน
ปกติ พะยูนชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่เราก็ยังไม่ทราบความสัมพันธ์กันภายในฝูงหรือครอบครัวของพะยูนมากนัก แต่พะยูนมีสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกอ่อนของมัน หลังจากพะยูนผสมพันธุ์แล้วแม่จะตั้งท้องเป็นเวลาประมาณ 13 เดือน เมื่อคลอดลูก (โดยทั่วไปครั้งละหนึ่งตัว)ออกมาแล้ว แม่พะยูนจะเลี้ยงดูลูกอ่อนต่อไปประมาณปีครึ่ง ระหว่างนี้พะยูนจะยังไม่มีลูกใหม่ไป 2-3 ปี ลูกพะยูนขนาดยาวประมาณไม่เกิน 1 เมตร จะว่ายเกาะติดบริเวณด้านข้างของแม่เกือบตลอดเวลา แต่ก็มีบ้างที่ลูกพะยูนซุกซน ว่ายห่างออกไปหรือว่ายไปบนหลังของแม่มัน เมื่อจะกินนมลูกพะยูนก็จะว่ายเข้าไปดูดจากหัวนมของแม่ที่อยู่บริเวณใต้โคน ครีบหน้า จากการสำรวจศึกษาโดยนักวิชาการของกรมป่าไม้ พบว่าบ่อยครั้งที่พะยูนแม่ อยู่ร่วมกับพะยูนขนาดใหญ่อีกตัวหนึ่งที่ว่ายตามอยู่ไม่ห่างเป็นเสมือนพ่อ หรือพี่เลี้ยงก็ยังคงเป็นปริศนาที่เราต้องทำความเข้าใจกันต่อไป
กรมป่าไม้กับพะยูน

พะยูนเคยได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ต่อมาเมื่อมีการปรับปรุงพระราชบัญญัติปี2535 ด้วยสถานะการณ์ใกล้สูญพันธุ์ของพะยูนทำให้พะยูนได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์ป่าสงวนหนึ่งในสิบห้าชนิดของไทย การประกาศเช่นนี้ย่อมหมายถึงทางราชการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พะยูนมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้กรมป่าไม้ ก็มิใช่ หยุดเพียงมาตราการทางกฎหมายแต่กรมป่าไม้ยังได้จัดให้มีการทำโครงการรักษ์พะยูนขึ้นในโครงการนี้มีเป้าหมายในการศึกษา และแสวงหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ในการอนุรักษ์พะยูนตลอดจนหญ้าทะเล อันเป็นอาหารหลักของพะยูนและแหล่งอาหาร รายได้ของชาวประมงชายฝั่ง

ในการศึกษาเกี่ยวกับพะยูนนี้ กรมป่าไม้ได้เริ่มการดำเนินการอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2533 จนกระทั่งปี 2534 กรมป่าไม้จึงเริ่มมีการสำรวจ จำนวนพะยูนและแหล่งที่อยู่อาศัยจากทางอากาศ ในบริเวณอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมและเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง ในเดือนเมษายน 2535 พบพะยูนจำนวนสูงสุดถึง 61 ตัวในบริเวณดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลจำนวนมากที่ช่วยให้เราเข้าใจในตัวพะยูนมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้เราเกือบจะไม่มีข้อมูลหรือมีข้อมูลที่ผิดพลาดเนื่องจากการขาดการศึกษาทางวิชาการที่เหมาะสม การได้ข้อมูลใหม่ๆที่ถูกต้องนี้ทำให้กรมป่าไม้ดำเนินการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพะยูนมากขึ้น การศึกษานี้มีเป้าหมายในการหา

  1. จำนวนพะยูนของไทย เพื่อให้ทราบสถานะที่แท้จริงสำหรับการวางแนวทางการจัดการที่เหมาะสม
  2. แหล่งอาศัยของพะยูน การอพยพ การเคลื่อนย้ายฝูงในแต่ละช่วงวันหรือตามฤดูกาลโดยจะเริ่มบริเวณเขตจังหวัดตรัง ก่นและมีแผนงานที่จะสานต่อข้อมูลออกไปเพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป
  3. พฤติกรรมการดำรงชีพ ความสัมพันธ์ระหว่างกันภายในฝูง
  4. ปัจจัยที่พะยูนต้องการเพื่อการความอยู่รอดเช่น ความเค็ม ความลึกน้ำ
  5. การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปรไปอาจเนื่องมากจากมนุษย์หรือภัยธรรมชาติ
  6. ระบบนิเวศน์หญ้าทะเล ปริมาณ ความสัมพันธ์ระหว่างหญ้ากับพะยูน
  7. ชุมชนท้องถิ่นโดยเฉพาะชาวประมงชายฝั่งที่มีความเกี่ยวข้องกับพะยูน

ทั้งนี้แนวทางการศึกษาของกรมป่าไม้จะมุ่งเน้นการศึกษาพะยูนที่มีการดำรงชีพอยู่ในธรรมชาติเป็นหลัก

พะยูนอยู่ที่ไหน
พะยูน (Dugong) เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเท่านั้น ทั้งยังมีการกระจายอยู่เพียงในเขตแนวชายฝั่งด้าน ตะวันออกของชายฝั่งทวีปแอฟริกาเลียบชายฝั่งย่านเปอร์เซีย อินเดีย ไทย ชายฝั่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ตอนเหนือของทวีปออสเตรเลีย ถึงแม้ว่าการกระจายจะมีเป็นบริเวณกว้างแต่ประชากรพะยูนทั่วโลกกลับมีจำนวนลดลงจนเกือบสูญพันธุ์เนื่องจากการล่าและการทำลาย แหล่งที่อยู่อาศัยของพะยูนอย่างขาดความคิดของมนุษย์ ปัจจุบันยังคงมีเพียงบริเวณชายฝั่งออสเตรเลียเท่านั้นที่มีจำนวนประชากร พะยูนหลายหมื่นตัว เนื่องจากมีจำนวนประชาชนน้อย (ชายฝั่งของทั้งทวีป) อย่างไรก็ตาม ประเทศออสเตรเลียกลับมีมาตรการการคุ้มครองพะยูนอย่างเข้มงวด มีการประกาศอนุรักษ์พื้นที่สำหรับพะยูน การดำเนินการแม้การพานักท่องเที่ยวไปชมพะยูนก็ต้องมีกฎระเบียบที่เข้มงวดและต้องมีการขออนุญาตจากรัฐบาล
สำหรับประเทศไทยเคยมีพะยูนอยู่อย่างมากมายทั้งชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน (ประมาณปี พ.ศ. 2510) แต่ก็มีจำนวนลดลงจนเหลือ อาจไม่ถึงร้อยตัวกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศอันเนื่องมาจากการล่า (ในอดีต) การเข้าไปติดในเครื่องมือประมง และการ ทำลายแหล่งหญ้าทะเลอันเป็นแหล่งอาหารทั้งของพะยูนและมนุษย์เอง (อดีต ปัจจุบัน และอนาคต) ถ้าเรายังคงปล่อยให้สถานะการณ์ ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปพะยูนของไทยเราก็คงสูญพันธุ์ไปเช่นเดียวกับสมันและสัตว์อีกหลายชนิดที่หายไปในช่วงชีวิตของเรา

จากการสำรวจของกรมป่าไม้พบว่าพะยูนยังคงมีกระจายอยู่ตามชายฝั่งของไทยทั้งอันดามันและอ่าวไทยแต่มีจำนวนน้อยและยังคง ไม่ทราบแน่ชัด เราเพียงทราบแล้วว่าเราสามารถพบพะยูนได้ตามชายฝั่งต่างๆ ทางฝั่งอันดามันพบตลอดแนวชายฝั่ง ทางอ่าวไทย ยังคงพบอยู่บ้างที่ระยอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา แต่กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดพบที่บริเวณอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 100 ตัว

พะยูนกินอะไรเป็นอาหาร
อาหารหลักของพะยูนคือหญ้าทะเล หญ้าทะเลนี้เป็นใบเลี้ยงเดี่ยว คล้ายหญ้าทั่วไปที่เราพบอยู่บนบก แต่มีวิวัฒนาการลงไปเจริญอยู่ใต้น้ำทะเลในบริเวณที่ทำการศึกษาพะยูนในเขตจังหวัดตรัง เราจะพบแหล่งหญ้าทะเลผืนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ประกอบด้วยหญ้าทะเลถึง 9 ชนิด ขึ้นรวมกันเป็นพื้นที่หลายสิบตารางกิโลเมตร หญ้าทะเลชนิดที่พะยูนชอบกินได้แก่หญ้าใบมะขาม (Halophila ovalis) และถึงแม้ว่าพะยูนจะกินหญ้าเป็นอาหารหลักแต่ก็มีแนวโน้มว่าพะยูนกินสัตว์ขนาดเล็กๆ ที่อยู่ตามพื้นในแนวหญ้าทะเลเช่นปลิงทะเล เป็นอาหารด้วยเช่นกัน
พะยูนมีอายุประมาณเท่าไร
พะยูนมีช่วงชีวิตใกล้เคียงกับมนุษย์ คือประมาณ 70 ปี พะยูนตัวผู้จะสืบพันธุ์ได้เมื่อมีอายุประมาณ 9 ปีขึ้นไป ส่วนตัวเมียจะเริ่มผสม พันธุ์ได้เมื่ออวยุมากกว่า 13 ปี
เราจะอนุรักษ์พะยูนได้อย่างไร
การ อนุรักษ์พะยูนนั้นเช่นเดียวกันกับการอนุรักษ์สัตว์หรือพรรณพืชอื่นๆ คือต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย สำหรับหน้าที่ของนักวิชาการของกรมป่าไม้ย่อมต้องมีหน้าที่ในการศึกษาวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ในการนำมาใช้ในการบริหาร และจัดการระบบนิเวศของพะยูนต่อไป

สำหรับประชาชนทั่วไปก็สามารถช่วยกันอนุรักษ์พะยูนได้ด้วยการให้ความสำคัญติดตามข่าวสารการร่วมแสดงความคิดเหศนในโอกาสต่างๆ การไม่สนับสนุนการประมงที่ผิดกฎหมาย การสนับสนุนแก่ผู้ทำการศึกษาและอนุรักษ์ การไม่สร้างมลภาวะ ให้เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเราก็เป็นการช่วยกันอนุรักษ์ที่สำคัญทางหนึ่งเพราะมลภาวะที่เกิดขึ้นทุกที่ ผลสุดท้ายก็มักถูกพัดพาลงไปสะสมในทะเลเหมือนกัน สำหรับกรมป่าไม้ หากต้องการทราบว่าขณะนี้เรากำลังทำอะไร โปรดดูได้ที่ การดำเนินการในปัจจุบัน

โครงการที่ร่วมดำเนินการกับต่างประเทศ (กลุ่มลุ่มน้ำ)


โครงการที่ร่วมดำเนินการกับต่างประเทศ (กลุ่มลุ่มน้ำ)
1. ชื่อโครงการ เปรียบเทียบผลผลิตของน้ำจากระบบวนเกษตรต่าง ๆ
Comparative Water Yield from Various Agroforestry Systems
2. หน่วยงานที่ร่วมมือ ศูนย์วิจัยวนเกษตรนานาชาติ (International Centre for Research in Agroforestry, ICRAF)
3. หน่วยงานที่รับผิดชอบ
กลุ่มลุ่มน้ำ ส่วนวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้
4. วัตถุประสงค์
(1) เพื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำ อัตราการไหลของน้ำ และตะกอนแขวนลอยจากวนเกษตรรูปแบบต่าง ๆ
(2) เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการลุ่มน้ำขนาดเล็กบนภูเขาเขตร้อนโดยเฉพาะภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
5. ระยะเวลาดำเนินการวิจัย
มกราคม 2542 - ธันวาคม 2543
6. สถานที่ดำเนินการวิจัย
ลุ่มน้ำแม่แจ่ม อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
7. ความก้าวหน้าของโครงการ
ก่อสร้างเขื่อนวัดน้ำ (weir) เพื่อศึกษาปริมาณน้ำและตะกอนจากพื้นที่การใช้ประโยชน์ต่าง ๆ พร้อมติดตั้งเครื่องบันทึกระดับน้ำ เครื่องอ่านระดับน้ำ เครื่องบันทึกระดับน้ำสูงสุด เครื่องบันทึกปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ และความชื้นสัมพัทธ์

ประเภทของป่าไม้

ประเภทของป่าไม้

ป่าไม้ในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

ป่าดงดิบหรือป่าไม่ผลัดใบ (Evergeen forest)

เป็นระบบนิเวศน์ของป่าไม้ชนิดที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ชนิดไม่ผลัดใบคือมีใบเขียวตลอดเวลา แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ

1. ป่าดิบเมืองร้อน (Tropical evergreen forest)

เป็นป่าที่อยู่ในเขตลมมรสุมพัดผ่านเกือบตลอดปี มีปริมาณน้ำฝนมาก แบ่งออกเป็น :

1.1 ป่าดงดิบชื้น (Tropical rain forest)

ป่าดงดิบชื้นในประเทศไทยมีการกระจายส่วนใหญ่อยู่ทางภาคใต้และภาคตะวันออกของประเทศ อาจพบในภาคอื่นบ้าง แต่มักมีลักษณะโครงสร้างที่เป็นสังคมย่อยของสังคมป่าชนิดนี้ ป่าดงดิบชื้นขึ้นอยู่ในที่ราบรือบนภูเขาที่ระดับความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในภาคใต้พบได้ตั้งแต่ตอนล่างของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไปจนถึงชายเขตแดน ส่วนทางภาคตะวันออกพบในจังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง และบางส่วนของจังหวัดชลบุรี (อุทิศ, 2541)

1.2 ป่าดงดิบแล้ง (Dry evergreen forest)

ป่าดงดิบแล้งของเมืองไทยพบกระจายตั้งแต่ตอนบนของทิวเขาถนนธงชัยจากจังหวัดชุมพรขึ้นมาทางเหนือ ปกคลุมลาดเขาทางทิศตะวันตกของทิวเขาตะนาวศรีไปจนถึงจังหวัดเชียงราย ส่วนซีกตะวันออกของประเทศปกคลุมตั้งแต่ทิวเขาภูพานต่อลงมามาถึงทิวเขาบรรทัด ทิวเขาพนมดงรักลงไปจนถึงจังหวัดระยองขึ้นไปตามทิวเขาดงพญาเย็น ทิวเขาเพชรบูรณ์จนถึงจังหวัดเลยและน่าน นอกจากนี้ ยังพบในจังหวัดสกลนคร และทางเหนือของจังหวัดหนองคายเลียบลำน้ำโขงในส่วนที่ติดต่อกับประเทศลาว ป่าชนิดนี้พบตั้งแต่ระดับความสูงจากน้ำทะเลปานกลางประมาณ 100 เมตรขึ้นไปถึง 800 เมตร (อุทิศ, 2541)
rainfrst.gif (59276 bytes)

1.3 ป่าดงดิบเขา (Hill evergreen forest)
ป่าดงดิบเขาอาจพบได้ในทุกภาคของประเทศในบริเวณที่เป็นยอดเขาสูง พบตั้งแต่เขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ขึ้นไปจนถึงยอดเขาสูง ๆ ในภาคเหนือ เช่น ยอดดอยอินทนนท์ ดอยปุย และยอดดอยอื่นๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน เป็นต้น ส่วนทางภาคตะวันออกพบได้บนยอดดอยภูหลวง ภูกระดึง ยอดเขาสูงในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นต้น (อุทิศ, 2541)

2. ป่าสน (Coniferous forest)
ป่าชนิดนี้ถือเอาลักษณะโครงสร้างของสังคมเป็นหลักในการจำแนกโดยเฉพาะองค์ประกอบของชนิดพันธุ์ไม้ในสังคมและไม้เด่นนำ อาจเป็นสนสองใบหรือสนสามใบ

namnao1.jpg (26333 bytes)

papru.jpg (78814 bytes)


3. ป่าพรุหรือป่าบึง (Swamp forest)

พบตามที่ราบลุ่มมีน้ำขังอยู่เสมอ และตามริมฝั่งทะเลที่มีโคลนเลนทั่วๆ ไป แบ่งออกเป็น

3.1 ป่าพรุ (Peat Swamp)
เป็นสังคมป่าที่อยู่ถัดจากบริเวณสังคมป่าชายเลน โดยอาจจะเป็นพื้นที่ลุ่มที่มีการทับถมของซากพืชและอินทรียวัตถุที่ไม่สลายตัว และมีน้ำท่วมขังหรือชื้นแฉะตลอดปี จากรายงานของกองสำรวจดิน กรมพัฒนาที่ดิน (2525) พื้นที่ที่เป็นพรุพบในจังหวัดต่าง ๆ ดังนี้ นราธิวาส 283,350 ไร่ นครศรีธรรมราช 76,875 ไร่ ชุมพร 16,900 ไร่ สงขลา 5,545 ไร่ พัทลุง 2,786 ไร่ ปัตตานี 1,127 ไร่ และตราด 11,980 ไร่ ส่วนจังหวัดที่พบเล็กน้อย ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ตรังกระบี่ สตูล ระยอง จันทบุรี เชียงใหม่ (อ.พร้าว) และจังหวัดชายทะเลอื่น ๆ รวมเป็นพื้นที่ 400,000 ไร่ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกบุกรุกทำลายระบายน้ำออกเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นสวนมะพร้าว นาข้าว และบ่อเลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลา คงเหลือเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ในจังหวัดนราธิวาสเท่านั้น คือ พรุโต๊ะแดง ซึ่งยังคงเป็นป่าพรุสมบูรณ์ และพรุบาเจาะ ซึ่งเป็นพรุเสื่อมสภาพแล้ว (ธวัชชัย และชวลิต, 2528)
3.2 ป่าชายเลน (Mangrove swamp forest)

เป็นสังคมป่าไม้บริเวณชายฝQั่งทะเลในจังหวัดทางภาคใต้ กลาง และภาคตะวันออก และมีน้ำขึ้น-น้ำลงอย่างเด่นชัดในรอบวัน

4. ป่าชายหาด (Beach forest)
แพร่กระจายอยู่ตามชายฝั่งทะเลที่เป็นดินกรวด ทราย และโขดหิน ดินมีฤทธิ์เป็นด่าง

ป่าผลัดใบ (Deciduous Forest)
เป็นระบบนิเวศน์ป่าชนิดที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ชนิดผลัดใบหรือทิ้งใบเก่าในฤดูแล้ง เพื่อจะแตกใบใหม่เมื่อเข้าฤดูฝน ยกเว้นพืชชั้นล่างจะไม่ผลัดใบ จะพบป่าชนิดนี้ตั้งแต่ระดับความสูง 50-800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ป่าเบญจพรรณ
ลักษณะทั่วไปเป็นป่าโปร่ง พื้นที่ป่าไม้ไม่รกทึบ มีไม้ไผ่ชนิดต่างๆ ขึ้นอยู่มาก มีอยู่ทั่วไปตามภาคต่างๆ ที่เป็นที่ราบ หรือตามเนินเขา พันธุ์ไม้จะผลัดใบในฤดูแล้ง การกระจายของป่าเบญจพรรณในประเทศไทย พบในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน ครอบคลุมต่ำลงไปจนถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ตอนบน มีปรากฏที่ระดับความสูงตั้งแต่ 50 เมตร ถึง 800 เมตร หรือสุงกว่านี้ในบางจุด

2. ป่าแดง ป่าแพะ หรือป่าเต็งรัง

พบขึ้นสลับกับป่าเบญจพรรณ ลักษณะเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้ขนาดเล็ก และขนาดกลาง ไม้เด่นอันเป็นไม้ดัชนีประกอบด้วยไม้ในวงศ์ยาง ฤดูแล้งจะผลัดใบ และมีไฟป่าเป็นประจำ ป่าเต็งรังมีถิ่นกระจายโดยกว้างๆ ซ้อนทับกันอยู่กับป่าเบญจพรรณ แต่อาจแคบกว่าเล็กน้อยทั้งนี้เนื่องจากมีปัจจัยกำหนดที่เกี่ยวข้องกับความแห้งแล้ง มีปรากฏตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีขึ้นไปจนถึงเหนือสุดในจังหวัดเชียงราย ป่าชนิดนี้เป็นสังคมพืชเด่นในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่ปรากฏสลับกันไปกับป่าเบญจพรรณ ในพื้นที่ที่มีความแห้งแล้งจัด กักก็บน้ำได้เลว เช่น บนสันเนิน พื้นที่ราบที่เป็นทรายจัด หรือบนดินลูกรังที่มีชั้นของลูกรังตื้น ตั้งแต่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 50-1,000 เมตร

teng.jpg (459497 bytes)
3. ป่าหญ้า
เกิดจากการทำลายสภาพป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ดินมีความเสื่อมโทรม มีฤทธิ์เป็นกรด ต้นไม้ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ จึงมีหญ้าต่างๆ เข้าไปแทนที่ แพร่กระจายทั่วประเทศในบริเวณที่ป่าถูกทำลายและเกิดไฟป่าเป็นประจำทุกปี

ทรัพยากรป่าไม้

ทรัพยากรป่าไม้

ป่าไม้
ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อื่น ๆ เพราะป่าไม้มีประโยชน์ทั้งการเป็นแหล่งวัตถุดิบของปัจจัยสี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคสำหรับมนุษย์ และยังมีประโยชน์ในการรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อม ถ้าป่าไม้ถูกทำลายลงไปมาก ๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น สัตว์ป่า ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ เมื่อป่าไม้ถูกทำลาย จะส่งผลไปถึงดินและแหล่งน้ำด้วย เพราะเมื่อเผาหรือถางป่าไปแล้ว พื้นดินจะโล่งขาดพืชปกคลุม เมื่อฝนตกลงมาก็จะชะล้างหน้าดินและความอุดมสมบูรณ์ของดินไป นอกจากนั้นเมื่อขาดต้นไม้คอยดูดซับน้ำไว้น้ำก็จะไหลบ่าท่วมบ้านเรือน และที่ลุ่มในฤดูน้ำหลากพอถึงฤดูแล้งก็ไม่มีน้ำซึมใต้ดินไว้หล่อเลี้ยงต้นน้ำลำธารทำให้แม่น้ำมีน้ำน้อย ส่งผลกระทบต่อมาถึงระบบเศรษฐกิจและสังคม เช่น การขาดแคลนน้ำในการการชลประทานทำให้ทำนาไม่ได้ผลขาดน้ำมาผลิตกระแสไฟฟ้า

ประเภทของป่าไม้ในประเทศไทย


ประเภทของป่าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกระจายของฝน ระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริมาณน้ำฝนทำให้ป่าแต่ละแห่งมีความชุ่มชื้นต่างกัน สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
ก. ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)
ข. ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Deciduous)

ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)

ป่าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปี เนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็นประเภทที่ไม่ผลัดใบ ป่าชนิดสำคัญซึ่งจัดอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่

1. ป่าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest)

ป่าดงดิบที่มีอยู่ทั่วในทุกภาคของประเทศ แต่ที่มีมากที่สุด ได้แก่ ภาคใต้และภาคตะวันออก ในบริเวณนี้มีฝนตกมากและมีความชื้นมากในท้องที่ภาคอื่น ป่าดงดิบมักกระจายอยู่บริเวณที่มีความชุ่มชื้นมาก ๆ เช่น ตามหุบเขาริมแม่น้ำลำธาร ห้วย แหล่งน้ำ และบนภูเขา ซึ่งสามารถแยกออกเป็นป่าดงดิบชนิดต่าง ๆ ดังนี้

1.1 ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest)
เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง 600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ไม้ที่สำคัญก็คือ ไม้ตระกูลยางต่าง ๆ เช่น ยางนา ยางเสียน ส่วนไม้ชั้นรอง คือ พวกไม้กอ เช่น กอน้ำ กอเดือย

1.2 ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest)
เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อย เช่น ในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600 เมตร ไม้ที่สำคัญได้แก่ มะคาโมง ยางนา พยอม ตะเคียนแดง กระเบากลัก และตาเสือ
1.3 ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest)
ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูง ๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,200 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล ไม้ส่วนมากเป็นพวก Gymonosperm ได้แก่ พวกไม้ขุนและสนสามพันปี นอกจากนี้ยังมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่ พวกไม้ชั้นที่สองรองลงมาได้แก่ เป้ง สะเดาช้าง และขมิ้นต้น
2. ป่าสนเขา (Pine Forest)
สวนปาล์ม ป่าสนเขามักปรากฎอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงประมาณ 200-1800 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บางทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200-300 เมตร จากระดับน้ำทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ ส่วนไม้ชนิดอื่นที่ขึ้นอยู่ด้วยได้แก่พันธุ์ไม้ป่าดิบเขา เช่น กอชนิดต่าง ๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิด คือ เต็ง รัง เหียง พลวง เป็นต้น

3. ป่าชายเลน (Mangrove Forest)
บางทีเรียกว่า "ป่าเลนน้ำเค็ม" หรือป่าเลน มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแต่ละชนิดมีรากค้ำยันและรากหายใจ ป่าชนิดนี้ปรากฎอยู่ตามที่ดินเลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้ำแม่น้ำใหญ่ ๆ ซึ่งมีน้ำเค็มท่วมถึงในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั้งสองด้าน ตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากที่สุดคือ บริเวณปากน้ำเวฬุ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี
พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลน ส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สำหรับการเผาถ่านและทำฟืนไม้ชนิดที่สำคัญ คือ โกงกาง ประสัก ถั่วขาว ถั่วขำ โปรง ตะบูน แสมทะเล ลำพูนและลำแพน ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็นพวก ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ ปอทะเล และเป้ง เป็นต้น

4. ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (Swamp Forest)
ป่าชนิดนี้มักปรากฎในบริเวณที่มีน้ำจืดท่วมมาก ๆ ดินระบายน้ำไม่ดีป่าพรุในภาคกลาง มีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่าง ๆ เช่น ครอเทียน สนุ่น จิก โมกบ้าน หวายน้ำ หวายโปร่ง ระกำ อ้อ และแขม ในภาคใต้ป่าพรุมีขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปีดินป่าพรุที่มีเนื้อที่มากที่สุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสดินเป็นพีท ซึ่งเป็นซากพืชผุสลายทับถมกัน เป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ ตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ำกร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยู่หนาแน่นพื้นที่มีต้นกกชนิดต่าง ๆ เรียก "ป่าพรุเสม็ด หรือ ป่าเสม็ด" อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ มากชนิดขึ้นปะปนกัน

ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าพรุ ได้แก่ อินทนิล น้ำหว้า จิก โสกน้ำ กระทุ่มน้ำภันเกรา โงงงันกะทั่งหัน ไม้พื้นล่างประกอบด้วย หวาย ตะค้าทอง หมากแดง และหมากชนิดอื่น ๆ
เห็ดกระโปรงนางฟ้า
5. ป่าชายหาด (Beach Forest)
เป็นป่าโปร่งไม่ผลัดใบขึ้นอยู่ตามบริเวณหาดชายทะเล น้ำไม่ท่วมตามฝั่งดินและชายเขาริมทะเล ต้นไม้สำคัญที่ขึ้นอยู่ตามหาดชายทะเล ต้องเป็นพืชทนเค็ม และมักมีลักษณะไม้เป็นพุ่มลักษณะต้นคดงอ ใบหนาแข็ง ได้แก่ สนทะเล หูกวาง โพธิ์ทะเล กระทิง ตีนเป็ดทะเล หยีน้ำ มักมีต้นเตยและหญ้าต่าง ๆ ขึ้นอยู่เป็นไม้พื้นล่าง ตามฝั่งดินและชายเขา มักพบไม้เกตลำบิด มะคาแต้ กระบองเพชร เสมา และไม้หนามชนิดต่าง ๆ เช่น ซิงซี่ หนามหัน กำจาย มะดันขอ เป็นต้น

ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Declduous)

ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าประเภทนี้เป็นจำพวกผลัดใบแทบทั้งสิ้น ในฤดูฝนป่าประเภทนี้จะมองดูเขียวชอุ่มพอถึงฤดูแล้งต้นไม้ ส่วนใหญ่จะพากันผลัดใบทำให้ป่ามองดูโปร่งขึ้น และมักจะเกิดไฟป่าเผาไหม้ใบไม้และต้นไม้เล็ก ๆ ป่าชนิดสำคัญซึ่งอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่

1. ป่าเบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest)

ป่าผลัดใบผสม หรือป่าเบญจพรรณมีลักษณะเป็นป่าโปร่งและยังมีไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กระจัดกระจายทั่วไปพื้นที่ดินมักเป็นดินร่วนปนทราย ป่าเบญจพรรณ ในภาคเหนือมักจะมีไม้สักขึ้นปะปนอยู่ทั่วไปครอบคลุมลงมาถึงจังหวัดกาญจนบุรี ในภาคกลางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก มีป่าเบญจพรรณน้อยมากและกระจัดกระจาย พันธุ์ไม้ชนิดสำคัญได้แก่ สัก ประดู่แดง มะค่าโมง ตะแบก เสลา อ้อยช้าง ส้าน ยม หอม ยมหิน มะเกลือ สมพง เก็ดดำ เก็ดแดง ฯลฯ นอกจากนี้มีไม้ไผ่ที่สำคัญ เช่น ไผ่ป่า ไผ่บง ไผ่ซาง ไผ่รวก ไผ่ไร เป็นต้น


2. ป่าเต็งรัง (Declduous Dipterocarp Forest)
หรือที่เรียกกันว่าป่าแดง ป่าแพะ ป่าโคก ลักษณะทั่วไปเป็นป่าโปร่ง ตามพื้นป่ามักจะมีโจด ต้นแปรง และหญ้าเพ็ก พื้นที่แห้งแล้งดินร่วนปนทราย หรือกรวด ลูกรัง พบอยู่ทั่วไปในที่ราบและที่ภูเขา ในภาคเหนือส่วนมากขึ้นอยู่บนเขาที่มีดินตื้นและแห้งแล้งมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีป่าแดงหรือป่าเต็งรังนี้มากที่สุด ตามเนินเขาหรือที่ราบดินทรายชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญในป่าแดง หรือป่าเต็งรัง ได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง กราด พะยอม ติ้ว แต้ว มะค่าแต ประดู่ แดง สมอไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟ้า ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างที่พบมาก ได้แก่ มะพร้าวเต่า ปุ่มแป้ง หญ้าเพ็ก โจด ปรงและหญ้าชนิดอื่น ๆ

3. ป่าหญ้า (Savannas Forest)

ป่าหญ้าที่อยู่ทุกภาคบริเวณป่าที่ถูกแผ้วถางทำลายบริเวณพื้นดินที่ขาดความสมบูรณ์และถูกทอดทิ้ง หญ้าชนิดต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นทดแทนและพอถึงหน้าแล้งก็เกิดไฟไหม้ทำให้ต้นไม้บริเวณข้างเคียงล้มตาย พื้นที่ป่าหญ้าจึงขยายมากขึ้นทุกปี พืชที่พบมากที่สุดในป่าหญ้าก็คือ หญ้าคา หญ้าขนตาช้าง หญ้าโขมง หญ้าเพ็กและปุ่มแป้ง บริเวณที่พอจะมีความชื้นอยู่บ้าง และการระบายน้ำได้ดีก็มักจะพบพงและแขมขึ้นอยู่ และอาจพบต้นไม้ทนไฟขึ้นอยู่ เช่น ตับเต่า รกฟ้าตานเหลือง ติ้วและแต้ว

รูปนก
ประโยชน์ของทรัพยากรป่าไม้

ป่าไม้มีประโยชน์มากมายต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่.

ประโยชน์ทางตรง (Direct Benefits)

ได้แก่ ปัจจัย 4 ประการ
1. จากการนำไม้มาสร้างอาคารบ้านเรือนและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ กระดาษ ไม้ขีดไฟ ฟืน เป็นต้น
2. ใช้เป็นอาหารจากส่วนต่าง ๆ ของพืชและผล
3. ใช้เส้นใย ที่ได้จากเปลือกไม้และเถาวัลย์มาถักทอ เป็นเครื่องนุ่งห่ม เชือกและอื่น ๆ
4. ใช้ทำยารักษาโรคต่าง ๆ

ประโยชน์ทางอ้อม (Indirect Benefits)

1. ป่าไม้เป็นเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารเพราะต้นไม้จำนวนมากในป่าจะทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาค่อย ๆ ซึมซับลงในดิน กลายเป็นน้ำใต้ดินซึ่งจะไหลซึมมาหล่อเลี้ยงให้แม่น้ำ ลำธารมีน้ำไหลอยู่ตลอดปี
2. ป่าไม้ทำให้เกิดความชุ่มชื้นและควบคุมสภาวะอากาศ ไอน้ำซึ่งเกิดจากการหายใจของพืช ซึ่งเกิดขึ้นอยู่มากมายในป่าทำให้อากาศเหนือป่ามีความชื้นสูงเมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงไอน้ำเหล่านั้นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นเมฆแล้วกลายเป็นฝนตกลงมา ทำให้บริเวณที่มีพื้นป่าไม้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ฝนตกต้องตามฤดูกาลและไม่เกิดความแห้งแล้ง
3. ป่าไม้เป็นแหล่งพักผ่อนและศึกษาความรู้ บริเวณป่าไม้จะมีภูมิประเทศที่สวยงามจากธรรมชาติรวมทั้งสัตว์ป่าจึงเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจได้ดี นอกจากนั้นป่าไม้ยังเป็นที่รวมของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์จำนวนมาก จึงเป็นแหล่งให้มนุษย์ได้ศึกษาหาความรู้
4. ป่าไม้ช่วยบรรเทาความรุนแรงของลมพายุและป้องกันอุทกภัย โดยช่วยลดความเร็วของลมพายุที่พัดผ่านได้ตั้งแต่ ๑๑-๔๔ % ตามลักษณะของป่าไม้แต่ละชนิด จึงช่วยให้บ้านเมืองรอดพ้นจากวาตภัยได้ซึ่งเป็นการป้องกันและควบคุมน้ำตามแม่น้ำไม่ให้สูงขึ้นมารวดเร็วล้นฝั่งกลายเป็นอุทกภัย
5. ป่าไม้ช่วยป้องกันการกัดเซาะและพัดพาหน้าดิน จากน้ำฝนและลมพายุโดยลดแรงปะทะลงการหลุดเลือนของดินจึงเกิดขึ้นน้อย และยังเป็นการช่วยให้แม่น้ำลำธารต่าง ๆ ไม่ตื้นเขินอีกด้วย นอกจากนี้ป่าไม้จะเป็นเสมือนเครื่องกีดขวางตามธรรมชาติ จึงนับว่ามีประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ด้วยเช่นกัน

สาเหตุสำคัญของวิกฤตการณ์ป่าไม้ในประเทศไทย


รูปท่อนไม้
1. การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า
ตัวการของปัญหานี้คือนายทุนพ่อค้าไม้ เจ้าของโรงเลื่อย เจ้าของโรงงานแปรรูปไม้ ผู้รับสัมปทานทำไม้และชาวบ้านทั่วไป ซึ่งการตัดไม้เพื่อเอาประโยชน์จากเนื้อไม้ทั้งวิธีที่ถูกและผิดกฎหมาย ปริมาณป่าไม้ที่ถูกทำลายนี้นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอัตราเพิ่มของจำนวนประชากร ยิ่งมีประชากรเพิ่มขึ้นเท่าใด ความต้องการในการใช้ไม้ก็เพิ่มมากขึ้น เช่น ใช้ไม้ในการปลูกสร้างบ้านเรือนเครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตรกรรมเครื่องเรือนและถ่านในการหุงต้ม เป็นต้น

2. การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อเข้าครอบครองที่ดิน
เมื่อประชากรเพิ่มสูงขึ้น ความต้องการใช้ที่ดินเพื่อปลูกสร้างที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินก็อยู่สูงขึ้น เป็นผลผลักดันให้ราษฎรเข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ แผ้วถางป่า หรือเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย นอกจากนี้ยังมีนายทุนที่ดินที่จ้างวานให้ราษฎรเข้าไปทำลายป่าเพื่อจับจองที่ดินไว้ขายต่อไป

3. การส่งเสริมการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจเพื่อการส่งออก
เช่น มันสำปะหลัง ปอ เป็นต้น โดยไม่ส่งเสริมการใช้ที่ดินอย่างเต็มประสิทธิภาพทั้ง ๆ ที่พื้นที่ป่าบางแห่งไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการเกษตร

4. การกำหนดแนวเขตพื้นที่ป่ากระทำไม่ชัดเจนหรือไม่กระทำเลยในหลาย ๆ พื้นที่
ทำให้ราษฎรเกิดความสับสนทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา ทำให้เกิดการพิพาทในเรื่องที่ดินทำกินและที่ดินป่าไม้อยู่ตลอดเวลาและมักเกิดการร้องเรียนต่อต้านในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน

5. การจัดสร้างสาธารณูปโภคของรัฐ
เช่น เขื่อน อ่างเก็บน้ำ เส้นทางคมนาคม การสร้างเขื่อนขวางลำน้ำจะทำให้พื้นที่เก็บน้ำหน้าเขื่อนที่อุดมสมบูรณ์ถูกตัดโค่นมาใช้ประโยชน์ ส่วนต้นไม้ขนาดเล็กหรือที่ทำการย้ายออกมาไม่ทันจะถูกน้ำท่วมยืนต้นตาย เช่น การสร้างเขื่อนรัชชประภาเพื่อกั้นคลองพระแสงอันเป็นสาขาของแม่น้ำพุมดวง-ตาปี ทำให้น้ำท่วมบริเวณป่าดงดิบซึ่งมีพันธุ์ไม้หนาแน่นประกอบด้วยสัตว์นานาชนิดนับแสนไร่ ต่อมาจึงเกิดปัญหาน้ำเน่าไหลลงลำน้ำพุมดวง

6. ไฟไหม้ป่า
มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งอากาศแห้งและร้อนจัด ทั้งโดยธรรมชาติและจากการกระทำของมะม่วงที่อาจลักลอบเผาป่าหรือเผลอ จุดไฟทิ้งไว้โดยเฉพาะในป่าไม้เป็นจำนวนมาก

7. การทำเหมืองแร่
แหล่งแร่ที่พบในบริเวณที่มีป่าไม้ปกคลุมอยู่ มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดหน้าดินก่อนจึงทำให้ป่าไม้ที่ขึ้นปกคลุมถูกทำลายลง เส้นทางขนย้ายแร่ในบางครั้งต้องทำลายป่าไม้ลงเป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างถนนหนทาง การระเบิดหน้าดิน เพื่อให้ได้มาซึ่งแร่ธาตุ ส่งผลถึงการทำลายป่า

การอนุรักษ์ป่าไม้

ป่าไม้ถูกทำลายไปจำนวนมาก จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศไปทั่วโลกรวมทั้งความสมดุลในแง่อื่นด้วย ดังนั้น การฟื้นฟูสภาพป่าไม้จึงต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทั้งภาครัฐภาคเอกชนและประชาชน ซึ่งมีแนวทางในการกำหนดแนวนโยบายด้านการจัดการป่าไม้ ดังนี้
1. นโยบายด้านการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้
2. นโยบายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เกี่ยวกับงานป้องกันรักษาป่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสันทนาการ
3. นโยบายด้านการจัดการที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ในท้องถิ่น
4. นโยบายด้านการพัฒนาป่าไม้ เช่น การทำไม้และการเก็บหาของป่า การปลูก และการบำรุงป่าไม้ การค้นคว้าวิจัย และด้านการอุตสาหกรรม
5. นโยบายการบริหารทั่วไปจากนโยบายดังกล่าวข้างต้นเป็นแนวทางในการพัฒนาและการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของชาติให้ได้รับผลประโยชน์ ทั้งทางด้านการอนุรักษ์และด้านเศรษฐกิจอย่างผสมผสานกัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลของธรรมชาติและมีทรัพยากรป่าไม้ไว้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ภาพการพักแรมด้วยเต็น

การจัดการป่าเศรษฐกิจ

มีกิจกรรมหลายอย่างที่จะดำเนินการในพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ได้แก่

1. การพัฒนาป่าธรรมชาติในพื้นที่ ๆ ยังมีป่าธรรมชาติปกคลุมสามารถวางโครงการทำป่าไม้ต่าง ๆ และป่าไม้ชุมชนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและการใช้สอยในครัวเรือนของราษฎรได้
2. การพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ ๆ ว่างเปล่าสามารถพัฒนาโดยให้รัฐและเอกชนทำการปลูกป่าในพื้นที่ ๆ ว่างเปล่า เพื่อผลิตไม้ในภาคอุตสาหกรรมและใช้สอยในครัวเรือน
3. การพัฒนาตามหลักศาสตร์ชุมชนใช้พื้นที่ป่าเศรษฐกิจในโครงการพระราชดำริโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงโครงการหมู่บ้านป่าไม้และโครงการ สกท.
4. การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ใช้พื้นที่เขตป่าเศรษฐกิจดำเนินงานในกิจกรรมเหมืองแร่ระเบิดหินย่อย และขอใช้ประโยชน์อื่น ๆ


ที่มา : รวบรวมจาก การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

Tuesday, September 29, 2009

16 មនុស្សប្រុស គួរអោយស្រលាញ់ត្រង់កន្លែងណា?

មនុស្សស្រីគួរអោយស្រលាញ់ ត្រង់ណាខ្លះ? ទុកអោយប្រុសៗឆ្លើយចុះ។ តែថា មនុស្សប្រុស គួរអោយស្រលាញ់ ត្រង់កន្លែងណានោះ កូនជ្រូកប្រាប់បន្តិចចុះ គឺ ៖ - ជាមនុស្សចិត្តល្អ - ជាមនុស្សឯករាជ្យ - ជាមនុស្សម៉ឺងម៉ាត់ - ជាមនុស្សទទួលខុសត្រូវខ្ពស់ - ជាមនុស្សមានគំនិតចង់ដើរទៅមុខ - ជាមនុស្សចេះលេងសើចតាមស្ថានការណ៍ ។ល។ និង ។ល។ មនុស្សប្រុសបែបនេះ បើស្រីៗឃើញ ច្បាស់ជាលាន់មាត់ថា He’s cool. ចាំរកនឹកឃើញ ចាំដាក់បន្ថែម អាលូវ ប្រុយសិន ព្រោះឡាវល់តិច។ ហេហេហេ

នារី គួរអោយស្រលាញ់ត្រង់ណាដែរ?

ហ៊ើយ មនុស្សស្រីមិនមែនកើតមកស្អាតទាំងអស់គ្នាទេ។ មើល៍តែកូនជ្រូកចុះ រូបរាងកន្ធីងកន្ធាត់ មាឌក៏កន្តេញកន្តុញ មិនមានកន្លែងណាស្អាតម៉ាតិចទេ គឺយ៉ាប់ម៉ាចប់។ តែហេងវិន ធ្លាប់ទទួលបានការសរសើរមួយ គឺមុខជំនាញ ញញឹមគួរអោយស្រលាញ់។ មិនចង់អួតទេ តែបងប្អូនមើលមើល៍បើ កូនជ្រូក ញញឹមស្អាតម្លឹងៗ មិនអោយគេសរសើរយ៉ាងម៉េច។ ហាហាហា ការពិត ពេលខ្លះ ប្រសិនបើយើងកើតមក មិនបានយកសំរស់មកជាប់នឹងខ្លួនទៅហើយ ធ្វើមុខក្រមូវទៀត ច្បាស់ជាគ្មាននរណាគេហ៊ាននៅជិតនោះទេ។ អាចឹង បងប្អូននារីកុំទាន់អាលអស់សង្ឃឹមអី។ មុខមិនស្អាត ក៏បានញញឹមយោង ហើយក្លាយជានារីគួរអោយស្រលាញ់ម្នាក់ដែរ។ ហេហេហេ

ប៉ោឡែចោលផ្ទះ

សុំទោស ពួកម៉ាក​ ស៊ីផឹក ជិតឆ្ងាយ ក្នុងវើតប្រេស។ ប៉ុន្មានថ្ងៃនេះ មិនសូវជាបាននៅផ្ទះ ឡាវល់តិចតួច គឺគេហៅទៅសំដែងកុនរឿង ដំណើរផ្សងព្រេងរបស់កូនជ្រូក ភាគបន្ត។ អាចឹងហើយ បានជាមិនបានជាឆ្លើយខំមិនរបស់ ពួកម៉ាក ស៊ីផឹក ក្នុងវើតប្រេសទាំងឡាយទាន់ពេលវេលា។ អរគុណធំៗ ដែលបានមកអើតផ្ទះ​កូនជ្រូកញឹកញាប់។ ប៉ុន្តែ ម៉េចៗជួយ ដងទឹកពីអណ្តូងក្រោយផ្ទះ ថែមទឹកពាងខាងមុខផ្ទះផង ពេលផឹកអស់ ព្រោះអ្នកក្រោយមក គាត់អត់អីផឹក។ ហេហេហេ នេះឈុតថ្មី សំរាប់សំដែងរឿងថ្មី។ លើកនេះ ធ្វើខ្លួនអោយស៊ិចស៊ីបន្តិច។ មិនដឹងធ្វើម៉េចទេ។ កើតមកក៏សំណាង យកត្រចៀក និងច្រមុះ ដ៏ធំៗ និង មាឌធាត់ ដ៏ស៊ិចស៊ីនេះមកតាម ក៏ចែកបង្ហាញបង្អួតរាងខ្លះទៅណា។ ​ហេហេហេ

រឿង គ្មានសិទ្ធិ​ (1)

សប្បាយចិត្តណាស់ លទ្ធផលប្រលងចូលមហាវិទ្យាល័យរបស់ខ្ញុំចេញហើយ។ - សុទ្ធា ៖ សុភា លទ្ធផលប្រលងរបស់បងចេញហើយអូន បងជាប់ចូលរៀនមហាវិទ្យាល័យពាណិជ្ជកម្មហើយ។ - សុភា ៖ មែនហ្អេបង។ ពិតជាល្អខ្លាំងណាស់។ អូនសប្បាយចិត្តមែនទែន។ - សុទ្ធា ៖ ស្អែក បងទៅភ្នំពេញហើយ។ ហ៊ឹម លឺខ្ញុំដកដង្ហើមធំ សុភាធ្វើមុខឆ្ងល់ ព្រោះអស់ពីធ្វើមុខញញឹម ខ្ញុំក៏បែរជាធ្វើមុខស្រពោនទៅវិញ។ - សុភា ៖ យ៉ាងម៉េចហ្នឹងបង? - សុទ្ធា ៖ បងប្រាកដជានឹកអូនខ្លាំងមិនខានទេ។ - សុភា ៖ មើលបងនិយាយចុះ ធ្វើមើលតែ ភ្នំពេញ និងកំពង់ចាម ពិបាកទៅមករកគ្នាណាស់អ៊ីចឹង។ - សុទ្ធា ៖ ចុះបើបងនឹកអូន តើអោយបងធ្វើយ៉ាងម៉េចទៅ? រាល់ថ្ងៃ គ្រាន់បានឃើញមុខអូនញញឹមនេះ បងរស់មានសុភមង្គល អស់ស្ទះហើយ។ - សុភា ៖ ហាហាហា បងនិយាយអីទេ។ អូនដូចជាចង់អៀនណាស់។ - សុទ្ធា ៖ បើបងទៅបាត់ អូននឹកបងទេ? - សុភា ៖ មិនដឹងជាសួរអីអញ្ចឹងទេ បង? - សុទ្ធា ៖ បងសួរមែនណា។ បងដឹងថា បែកអូនម៉ានាទី ពិបាក ដកដង្ហើមប៉ុណ្ណា ចុះទំរាំខានឃើញមុខញញឹមស្រស់របស់អូនរាល់ថ្ងៃ បងច្បាស់ជាក្ស័យមិនខានទេ។ - សុភា ៖ កុំនិយាយលេងមើល។ - សុទ្ធា ៖ មើលមុខអូនក្រហមចុះ គួរអោយស្រលាញ់ខ្លាំងណាស់។ - សុភា ៖ ជំនាញបងហើយ អាពូកែញ៉ោះគេហ្នឹង។ - សុទ្ធា ៖ បើមិនញ៉ោះសង្សារខ្លួនឯង ទៅញ៉ោះសង្សារអ្នកដទៃ អោយគេវាយងាប់ទៅហ្អី? ពួកយើងទាំងពីរក៏ផ្ទុះសំណើចជាមួយគ្នា។ សុភា និងខ្ញុំ នៅផ្ទះជិតគ្នា។ ពួកយើងប្រហែលជាស្រលាញ់គ្នាយូរក្រែលដែរហើយ តែនាងទើបតែព្រមធ្វើជាសង្សារនឹងខ្ញុំ កាលពីឆ្នាំមុននេះឯង។ នាងសុភាព គួរអោយស្រលាញ់ណាស់។ ឪពុកម្តាយរបស់ខ្ញុំចូលចិត្តនាង ហើយហៅនាងតែកូនប្រសាររហូតមក។ កាលពីមុន ខ្ញុំខឹងនឹងពួកគាត់ណាស់ ដែលចេះតែហៅកូនស្រីបែបនេះ តែដល់តែនៅជិតនាងយូរ ក៏ឃើញនាងស្អាតឡើងៗជារាងរាល់ថ្ងៃ។ ខ្ញុំក៏សំរេចចិត្តសារភាពប្រាប់នាងតែម្តងទៅ ខ្ជិលនៅសូញសាញច្រើន នាំតែសាំតាប៉ែយូរ គេឆក់យកបាត់ ស្តាយក្រោយមិនខានទេ។ - សុភា ៖ បងទៅអំពេញមុនទៅ ឆ្នាំក្រោយខ្ញុំក៏នឹងទៅរៀននៅនោះដែរ។ - សុទ្ធា ៖ ដឹងហើយ តែមួយឆ្នាំ យូរណាស់ណា។ - សុភា ៖ មិនដឹងជាយូរអីទេ។ តែមិនស្រួល បងទៅដល់ទីក្រុង បងភ្លេចភាផង មិនដឹងទេ។ - សុទ្ធា ៖ ទាល់តែយូរបានភ្លេច។ បើអូនភា ស្អាតម្លឹងៗ មានស្រីណា មកអាចធ្វើអោយបងភ្លេចភាទេ។ - សុភា ៖ ស្រីនៅពេញ ស្អាតៗសឹងអីហ្នឹង។ - សុទ្ធា ៖ ស្អាតយ៉ាងណា ក៏មិនដល់ភារបស់បងដែរ។ - សុភា ៖ កុំចេះតែបញ្ជោរអូនអញ្ចឹងមើល៍។ - សុទ្ធា ៖ មុខក្រហមទៀតហើយ។ អូនភា ពិតជាគួរអោយស្រលាញ់ណាស់។ នៅជិតសុភាម្តងៗ ខ្ញុំសឹងតែទប់អារម្មណ៍របស់ខ្លួនឯងមិនបាន ជាពិសេស ថ្ពាល់ក្រហមរបស់នាង គួរអោយចង់ថើបខ្លាំងណាស់។ តែខ្ញុំមិនអាចធ្វើអ៊ីចឹងបានទេ។ កូនស្រីគេមានម៉ែមានឪ តែធ្វើផ្តេសផ្តាស ឪគេកាប់អាយៈក្បាលមិនខានទេ។ ព្រឹកឡើង ខ្ញុំឡើងឡានឈ្នួលមកភ្នំពេញ សុភា ចេញមកជូនដំណើររបស់ខ្ញុំដែរ។ យាយតា ពុកម៉ែ បងប្អូនរបស់ខ្ញុំ ចេញមកជូនខ្ញុំតែទាំងអស់ តែកែវភ្នែករបស់ខ្ញុំ មើលឃើញតែអូនភាមួយប៉ុណ្ណោះ។ មិនដឹងជាពុកម៉ែផ្តាំខ្ញុំអីខ្លះទេ ចេះតែបាទៗសិនទៅ។ មើលទៅអូនភា នាងក៏ដូចជាចង់រលីងរលោងទឹកភ្នែក។ ខ្ញុំជាកូនប្រុស មិនអាចយំបានមែន តែបេះដូងរបស់ខ្ញុំបានយំបាត់ទៅហើយ ព្រោះត្រូវតែបែកពីសង្សារសំណព្វចិត្តនៅគ្រានេះហើយ។ ថ្ងៃចូលរៀននៅមហាវិទ្យាល័យក៏មកដល់។ ខ្ញុំដើរចូលទៅ ទាំងមានអំនួតតិចៗនៅក្នុងចិត្ត។ កូនអ្នកស្រុកស្រែ បានមករៀននៅក្រុង មិនអោយមានអំនួត យ៉ាងម៉េចហ្នឹងកើតទៅ។ (នៅមានត) ……………………………. (ឈុតក្រៅឆាក) នៅស្នាក់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ទស្សនាវដ្តី កូនសោរជីវិត
- កូនជ្រូក ៖ អូយ ខ្ជិលណាស់ សរសេរប៉ុណ្ណេះសិន បានទេ? - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ ងាប់ហើយ ស្លេះ សូម្បីតែរឿងខ្លី មានអ្នកអានណា មកតាមដានទៀតនោះ។​ ច្បាស់ជាដួលបះជើងមិនខានទេ ស្នាក់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ទស្សនាវដ្តី កូនសោរជីវិត នេះ។ - កូនជ្រូក ៖ ចុះបើចុងអាទិត្យហើយ។ ចង់ទៅដើរលេងប៉ោឡែ ខាងក្រៅសិន។ រដូវក្តៅ មេឃល្អសឹងអីហ្នឹង។ ខាតណាស់ណា។ - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ បាន បាន អោយទៅម៉ាភ្លែត តែឆាប់មកធ្វើការវិញ។ - កូនជ្រូក ៖ បាយ បាយ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ អូ ភីស្សាៗៗៗៗ បងប្អូន ភីស្សា គេយកមកហើយ។ - កូនជ្រូក ៖ នៅណាៗៗៗៗ? អោយខ្ញុំមួយ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ កូនជ្រូក យកបានតែមួយចំណិតទេ មិនមែនភីស្សាមួយទាំងមូលអាចឹងទេ។ អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ គ្រវីក្បាល។ - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ មិនដឹងជាចំណូល ទប់ចំណាយថ្លៃភីស្សា និងភ្លៅមាន់របស់កូនជ្រូករួចអត់ទេ ទស្សនាវដ្តី កូនសោរជីវិត របស់យើងនេះ។ - តាក្លូ ៖ កុំបារម្ភ ដេកតែព្រួយទៅ។ ខ្ញុំចេញទៅដកមេសិន អ្នកចាត់ការ ចាំតិចទៀត ចាំខ្ញុំមកកែអត្ថបទ របស់កូនជ្រូកទៀត។ - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ ច្បាស់ជារលាយឆាប់មិនខានទេ ទស្សនាវដ្តី កូនសោរជីវិតរបស់ខ្ញុំ បើបុគ្គលិកសុទ្ធតែធ្វើការធឺហ្នឹង។

រឿងខ្លី ៖ គ្មានសិទ្ធិ

សប្បាយចិត្តណាស់ លទ្ធផលប្រលងចូលមហាវិទ្យាល័យរបស់ខ្ញុំចេញហើយ។ - សុទ្ធា ៖ សុភា លទ្ធផលប្រលងរបស់បងចេញហើយអូន បងជាប់ចូលរៀនមហាវិទ្យាល័យពាណិជ្ជកម្មហើយ។ - សុភា ៖ មែនហ្អេបង។ ពិតជាល្អខ្លាំងណាស់។ អូនសប្បាយចិត្តមែនទែន។ - សុទ្ធា ៖ ស្អែក បងទៅភ្នំពេញហើយ។ ហ៊ឹម លឺខ្ញុំដកដង្ហើមធំ សុភាធ្វើមុខឆ្ងល់ ព្រោះអស់ពីធ្វើមុខញញឹម ខ្ញុំក៏បែរជាធ្វើមុខស្រពោនទៅវិញ។ - សុភា ៖ យ៉ាងម៉េចហ្នឹងបង? - សុទ្ធា ៖ បងប្រាកដជានឹកអូនខ្លាំងមិនខានទេ។ - សុភា ៖ មើលបងនិយាយចុះ ធ្វើមើលតែ ភ្នំពេញ និងកំពង់ចាម ពិបាកទៅមករកគ្នាណាស់អ៊ីចឹង។ - សុទ្ធា ៖ ចុះបើបងនឹកអូន តើអោយបងធ្វើយ៉ាងម៉េចទៅ? រាល់ថ្ងៃ គ្រាន់បានឃើញមុខអូនញញឹមនេះ បងរស់មានសុភមង្គល អស់ស្ទះហើយ។ - សុភា ៖ ហាហាហា បងនិយាយអីទេ។ អូនដូចជាចង់អៀនណាស់។ - សុទ្ធា ៖ បើបងទៅបាត់ អូននឹកបងទេ? - សុភា ៖ មិនដឹងជាសួរអីអញ្ចឹងទេ បង? - សុទ្ធា ៖ បងសួរមែនណា។ បងដឹងថា បែកអូនម៉ានាទី ពិបាក ដកដង្ហើមប៉ុណ្ណា ចុះទំរាំខានឃើញមុខញញឹមស្រស់របស់អូនរាល់ថ្ងៃ បងច្បាស់ជាក្ស័យមិនខានទេ។ - សុភា ៖ កុំនិយាយលេងមើល។ - សុទ្ធា ៖ មើលមុខអូនក្រហមចុះ គួរអោយស្រលាញ់ខ្លាំងណាស់។ - សុភា ៖ ជំនាញបងហើយ អាពូកែញ៉ោះគេហ្នឹង។ - សុទ្ធា ៖ បើមិនញ៉ោះសង្សារខ្លួនឯង ទៅញ៉ោះសង្សារអ្នកដទៃ អោយគេវាយងាប់ទៅហ្អី? ពួកយើងទាំងពីរក៏ផ្ទុះសំណើចជាមួយគ្នា។ សុភា និងខ្ញុំ នៅផ្ទះជិតគ្នា។ ពួកយើងប្រហែលជាស្រលាញ់គ្នាយូរក្រែលដែរហើយ តែនាងទើបតែព្រមធ្វើជាសង្សារនឹងខ្ញុំ កាលពីឆ្នាំមុននេះឯង។ នាងសុភាព គួរអោយស្រលាញ់ណាស់។ ឪពុកម្តាយរបស់ខ្ញុំចូលចិត្តនាង ហើយហៅនាងតែកូនប្រសាររហូតមក។ កាលពីមុន ខ្ញុំខឹងនឹងពួកគាត់ណាស់ ដែលចេះតែហៅកូនស្រីបែបនេះ តែដល់តែនៅជិតនាងយូរ ក៏ឃើញនាងស្អាតឡើងៗជារាងរាល់ថ្ងៃ។ ខ្ញុំក៏សំរេចចិត្តសារភាពប្រាប់នាងតែម្តងទៅ ខ្ជិលនៅសូញសាញច្រើន នាំតែសាំតាប៉ែយូរ គេឆក់យកបាត់ ស្តាយក្រោយមិនខានទេ។ - សុភា ៖ បងទៅអំពេញមុនទៅ ឆ្នាំក្រោយខ្ញុំក៏នឹងទៅរៀននៅនោះដែរ។ - សុទ្ធា ៖ ដឹងហើយ តែមួយឆ្នាំ យូរណាស់ណា។ - សុភា ៖ មិនដឹងជាយូរអីទេ។ តែមិនស្រួល បងទៅដល់ទីក្រុង បងភ្លេចភាផង មិនដឹងទេ។ - សុទ្ធា ៖ ទាល់តែយូរបានភ្លេច។ បើអូនភា ស្អាតម្លឹងៗ មានស្រីណា មកអាចធ្វើអោយបងភ្លេចភាទេ។ - សុភា ៖ ស្រីនៅពេញ ស្អាតៗសឹងអីហ្នឹង។ - សុទ្ធា ៖ ស្អាតយ៉ាងណា ក៏មិនដល់ភារបស់បងដែរ។ - សុភា ៖ កុំចេះតែបញ្ជោរអូនអញ្ចឹងមើល៍។ - សុទ្ធា ៖ មុខក្រហមទៀតហើយ។ អូនភា ពិតជាគួរអោយស្រលាញ់ណាស់។ នៅជិតសុភាម្តងៗ ខ្ញុំសឹងតែទប់អារម្មណ៍របស់ខ្លួនឯងមិនបាន ជាពិសេស ថ្ពាល់ក្រហមរបស់នាង គួរអោយចង់ថើបខ្លាំងណាស់។ តែខ្ញុំមិនអាចធ្វើអ៊ីចឹងបានទេ។ កូនស្រីគេមានម៉ែមានឪ តែធ្វើផ្តេសផ្តាស ឪគេកាប់អាយៈក្បាលមិនខានទេ។ ព្រឹកឡើង ខ្ញុំឡើងឡានឈ្នួលមកភ្នំពេញ សុភា ចេញមកជូនដំណើររបស់ខ្ញុំដែរ។ យាយតា ពុកម៉ែ បងប្អូនរបស់ខ្ញុំ ចេញមកជូនខ្ញុំតែទាំងអស់ តែកែវភ្នែករបស់ខ្ញុំ មើលឃើញតែអូនភាមួយប៉ុណ្ណោះ។ មិនដឹងជាពុកម៉ែផ្តាំខ្ញុំអីខ្លះទេ ចេះតែបាទៗសិនទៅ។ មើលទៅអូនភា នាងក៏ដូចជាចង់រលីងរលោងទឹកភ្នែក។ ខ្ញុំជាកូនប្រុស មិនអាចយំបានមែន តែបេះដូងរបស់ខ្ញុំបានយំបាត់ទៅហើយ ព្រោះត្រូវតែបែកពីសង្សារសំណព្វចិត្តនៅគ្រានេះហើយ។ ថ្ងៃចូលរៀននៅមហាវិទ្យាល័យក៏មកដល់។ ខ្ញុំដើរចូលទៅ ទាំងមានអំនួតតិចៗនៅក្នុងចិត្ត។ កូនអ្នកស្រុកស្រែ បានមករៀននៅក្រុង មិនអោយមានអំនួត យ៉ាងម៉េចហ្នឹងកើតទៅ។ (នៅមានត) ……………………………. ស្លេះត្រឹមនេះសិន ចាំស្អែក ចាំទំនេរសរសេរតទៀត។ ហេហេហេ ពីកូនជ្រូក7ពណ៌ ដ៏កំជិល

រឿងខ្លី ៖ គ្មានសិទ្ធិ (2)

- អេ ទើបមកថ្មីហ្អ? - សុទ្ធា ៖ បាទ បាទ។ ខ្ញុំងាកមើលអ្នកកេះខ្នងរបស់ខ្ញុំ គឺជាក្មេងស្រីម្នាក់ មានរូបរាងតូចល្អិត។ មើលទៅនាង គឺក្មេងជាងខ្ញុំទៅទៀត ហេតុអ្វីមិនហៅខ្ញុំ បង បែរជាសួរខ្ញុំធ្វើមើលតែខ្ញុំហ្នឹង ប្អូនតូចជាងនាងអ៊ីចឹង។ - រកថ្នាក់រៀនហ្អ? - សុទ្ធា ៖ បាទ។ អូ អឺ ហ្នឹងហើយ។ - រៀនឆ្នាំទីប៉ុន្មាន? - សុទ្ធា ៖ ឆ្នាំទីមួយ បន្ទប់លេខ15។ - អូ នៅជាន់ទីពីរ ម៉ោះ ខ្ញុំជូនទៅ។ ហ្អាក នៅទីក្រុង មានមនុស្សចិត្តល្អបែបនេះផង។ មិនប្រាប់ផ្លូវទៅ សុទ្ធតែជូនទៅដល់បន្ទប់ទៀត ឡូយអស់ទាស់។ នាងដើរខាងមុខ ខ្ញុំដើរតាមនាង។ ខ្ញុំអាចមើលរូបរាងរបស់នាងពីក្រោយខ្នង ដោយមិនចាំបាច់ខ្លាចចិត្តទេ។ នាងមានកំពស់ប្រហែលជា1ម៉ែត្រ50ជាងអីហ្នឹង។ ស្គមបែបនេះ ប្រហែលជាជាង 40គីឡូ។ សក់របស់នាងខ្លីត្រឹមក។ នាងស្ពាយកាតាបចំហៀងពណ៌ខៀវ ហើយមានបន្តោងសោរូបសញ្ញាអីមិនដឹងទេ ពណ៌ក្រហម។ ដើរបានបន្តិច នាងងាកមកញញឹមដាក់ខ្ញុំ។ ខ្ញុំភ្ញាក់ព្រើត ហើយដូចជាអៀនដែរ ដែលកំពុងសំលឹងមើលនាងពីក្រោយ តាំងពីលើក្បាលដល់ចុងជើង។ - មកពីស្រុកណាដែរ? - សុទ្ធា ៖ បាទ គឺមកពីកំពង់ចាម។ ម៉េចក៏ដឹងថា ខ្ញុំមកពីស្រុក? - ព្រោះប្រុសនៅពេញនេះ គ្មាននរណា គេឆ្លើយបាទ ដាក់ខ្ញុំផង។ ហាហាហា ខ្ញុំដូចជាអៀននឹងក្មេងស្រីម្នាក់នេះណាស់ នៅពេលនាងនិយាយបែបនេះ។ នាងសើចយ៉ាងសប្បាយ ប្រៀបដូចជាចំអកអោយខ្ញុំ តែក៏ដូចជាមិនមែន ដូចជាដើម្បីរាក់ទាក់នឹងខ្ញុំច្រើនជាង។ នៅពេលនាងនិយាយ គឺនាងបញ្ចេញស្នាមញញឹមជាប់ជានិច្ច។ នាងនិយាយៗៗៗៗ តែខ្ញុំបែរជាស្លុងនឹងស្នាមញញឹមចេញពីបបូរមាត់របស់នាង។ ខួរក្បាលរបស់ខ្ញុំមិនបានចាប់យកអ្វីដែលនាងនិយាយនោះទេ គឺគិតតែពីបបូរមាត់របស់នាង ដែលញញឹមមិនចេះហត់នោះប៉ុណ្ណោះ។ - ដល់ហើយ។ នេះថ្នាក់រៀន។ - សុទ្ធា ៖ បាទ បាទ អរគុណ។ អឺ ឈ្មោះអីដែរ? - ចុះប្រាប់អំបាញ់មិញហើយតើថា ឈ្មោះ វឌ្ឍនា។ សុទ្ធា កំពុងតែគិតទៅដល់ណា បានជាមិនលឺឈ្មោះរបស់ខ្ញុំប្រាប់។ អូ ព្រះ ម៉េចក៏នាងដឹងថា ខ្ញុំឈ្មោះសុទ្ធា។ ប្រហែលជាអំបាញ់មិញ នាងសួរខ្ញុំច្រើនពេក ខ្ញុំក៏ចេះតែឆ្លើយ តែភ្លឹកនឹងបបូរមាត់ញញឹមរហូតរបស់នាងហ្នឹងហើយ បានជាមិនដឹងខ្លួនសោះ។ - សុទ្ធា ៖ អត់ទេ គឺដូចជាប្លែកសាលា។ នាងសើច ហើយដើរចូលថ្នាក់នោះដែរ។ ខ្ញុំឃើញនាងបោះកាតាប អង្គុយតុមួយនៅជិតបង្អួច ហើយឃើញនាងនិយាយជាមួយមនុស្សប្រុសស្រីក្នុងថ្នាក់រៀនជាច្រើននាក់។ ការពិត នាងជូនខ្ញុំមកថ្នាក់នេះ មកពីនាងរៀនជាមួយនឹងខ្ញុំដែរតើ។ ចិត្តមួយរបស់ខ្ញុំ ស្រាប់តែមានអារម្មណ៍ត្រេកអរ។ អ្នកទីក្រុងទីមួយ ដែលខ្ញុំទើបនឹងជួបរៀនជាមួយនឹងខ្ញុំដែរ។ ត្រលប់មកដល់ផ្ទះវិញ ខ្ញុំហាក់ដូចជាឯកោរ។ នៅម្នាក់ឯង ធ្វើអោយខ្ញុំនឹកដល់អូនភាជាខ្លាំង។ ខ្ញុំក៏ចាប់ក្រដាស គិតថា នឹងសរសេរសំបុត្រទៅនាងភ្លាមដែរ។ ដៃកាន់ប៊ិចបណ្តើរ រកនឹកថា នឹងចាប់ផ្តើមសរសេរពាក្យអ្វីមុនគេបណ្តើរ។ អូនភាសំលាញ់ចិត្តបង សរសេរអ៊ីចឹង ម៉ែគេឃើញ ខ្ញុំច្បាស់ជាបានស៊ីក្រញ៉ជាមិនខានទេ។ មកដល់ភា សរសេរបែបនេះ គ្រាន់បើតិច។ ប៉ុន្មានខែក្រោយមក ខ្ញុំកាន់តែសិ្នទ្ធស្នាលនឹងវឌ្ឍនាទៅៗ។ នាងជាមិត្តនារីតែម្នាក់គត់ ដែលជាមិត្តជិតស្និទ្ធនឹងខ្ញុំ។ តែខ្ញុំមិនមែនជាមិត្តប្រុសតែម្នាក់គត់ ដែលជាមិត្តស្និទ្ធស្នាលរបស់នាងទេ។ - វឌ្ឍនា ៖ ហេយ គិតអីហ្នឹង សុទ្ធា? - សុទ្ធា ៖ មានគិតអីណា។ - វឌ្ឍនា ៖ ប្រហែលនឹកសង្សារទៀតហើយហ្នឹង។ ហាហាហា ខ្ញុំស្រាប់តែចាប់ភ្លឹកថា ខ្ញុំមានសង្សាររួចហើយ។ ហេតុអ្វីខ្ញុំនៅគិតចំពោះមនុស្សស្រីនៅឈរចំពោះមុខខ្ញុំម្នាក់នេះទៀត? ហេតុអី? រឺក៏ខ្ញុំជាប្រុសព្រានដូចដែរ នារីៗឧស្សាហ៍ជេរនោះមែន? ប្រុសចិត្តពីរ? - សិរីបុត្រ ៖ វឌ្ឍនា ល្ងាចហ្នឹងទំនេរទេ? ទៅស្តាត ហែលទឹកហ្អេ? - វឌ្ឍនា ៖ មិនទៅស្តាតទេ ទឹកគគ្រិចសឹងអីហ្នឹង? - សិរីបុត្រ ៖ ចុះចង់ហែលទឹកនៅណាចុះ? - វឌ្ឍនា ៖ ទៅវីអាយភីទៅ។ - សិរីបុត្រ ៖ ថ្លៃណាស់នៅហ្នឹងនោះ។ - វឌ្ឍនា ៖ ទៅអត់? - សិរីបុត្រ ៖ ទៅទៅ វឌ្ឍនានិយាយបណ្តើរ ក៏ដើរជាមួយនឹងសិរីបុត្រចេញទៅក្រៅថ្នាក់បណ្តើរ។ ខ្ញុំស្រាប់តែចំលែកចិត្តណាស់។ ខ្ញុំដូចជាមានអារម្មណ៍ថា ខឹងនឹងនាង នៅពេលដែលឃើញនាងទៅសិ្នទ្ធស្នាលនឹង ប្រុសផ្សេងទៀតបែបនេះ។ ខ្ញុំក៏មិនយល់ពីអារម្មណ៍របស់ខ្លួនឯងដែរ ហេតុអីខ្ញុំចង់ហួងហែងនាងទុកតែម្នាក់ឯង? បើខ្ញុំមានសង្សារមួយនៅយ៉ាងជ្រងោទៅហើយនោះ។ ខ្ញុំគ្មានសិទ្ធិទៅឃាត់នាងមិនអោយស្និទ្ធស្នាលនឹងប្រុសដទៃនោះទេ។ ខ្ញុំគ្មានសិទ្ធិឃាត់នាងមិនអោយញញឹមដាក់ប្រុសដទៃទេ។ ខ្ញុំគ្មានសិទ្ធិឃាត់ទុកស្នាមញញឹមរបស់នាងសំរាប់តែខ្ញុំម្នាក់នោះទេ។ ខ្ញុំខឹងនឹងខ្លួនឯង ដែលគ្មានសិទ្ធិ។ ខ្ញុំខឹងនឹងខ្លួនឯង ដែលមិនអាចនិយាយប្រាប់នាងបានថា ខ្ញុំចូលចិត្តនាង។ ខ្ញុំប្រហែលជាស្រលាញ់នាងទេដឹង? អត់ទេ ខ្ញុំស្រលាញ់សង្សាររបស់ខ្ញុំណាស់។ ខ្ញុំមិនចង់បាត់បង់សង្សាររបស់ខ្ញុំនោះទេ។ ខ្ញុំតែងតែធ្វើអ្វីគ្រប់យ៉ាង ដើម្បីរក្សាចំណងស្នេហារបស់ពួកយើងកន្លងមក។ នៅមិនយូរខែទៀតទេ នាងនឹងមករៀននៅភ្នំពេញហើយ។ ចិត្តខ្ញុំច្របូកច្របល់ រហូតធ្វើអោយខ្ញុំដូចជាខឹងដោយទាំងសិរីបុត្រនោះទៀត។ ប្រសិនបើខ្ញុំត្រូវខឹងប្រុសទាំងអស់ដោយសារតែវឌ្ឍនា ខ្ញុំក៏ប្រហែលជានឹងក្លាយទៅជាសត្រូវរបស់បុរសទាំងអស់ក្នុងសាលារៀននេះ ព្រោះតែវឌ្ឍនាជាមនុស្សមានប្រជាប្រិយភាពម្នាក់។ នាងរាប់អានមិត្ត មិនរើសឋានៈ មិនរើសភេទ មិនរើសជំនាន់ មិនរើស … ខ្ញុំមិនអាចមើលដឹងចិត្តនាងថា នាងចូលចិត្តនរណាម្នាក់ខ្លាំងជាងនរណានោះទេ។ ខ្ញុំក៏មិនដឹងថា នាងចូលចិត្តខ្ញុំប៉ុណ្ណាដែរ។ តែខ្ញុំដឹងខ្លួនឯងថា ខ្ញុំចូលចិត្តនាងខ្លាំង ខ្លាំង ខ្លាំង ខ្លាំងណាស់ រហូតបុណ្យរាល់ថ្ងៃ កុំអោយមានថ្ងៃសៅរ៍ ថ្ងៃអាទិត្យ ព្រោះខ្ញុំមិនអាចជួបមុខនាងទេនៅថ្ងៃសំរាកទាំងពីរថ្ងៃនេះ។ ហើយថ្ងៃទាំងពីរនោះ ទោះជាមួយថ្ងៃមានតែ24ម៉ោងដូចថ្ងៃទូទៅដែរ តែខ្ញុំមានអារម្មណ៍ថា មួយវិនាទីៗដើរយឺតជាងថ្ងៃណាៗទាំងអស់។ ហេតុអ្វីខ្ញុំត្រូវនឹកវឌ្ឍនាទៀតក្នុងពីរថ្ងៃនោះ? ខ្ញុំគួរតែនឹកដល់សុភាទើបត្រូវ។ - វឌ្ឍនា ៖ ណេះអោយឯង។ - សុទ្ធា ៖ ស្អីគេហ្នឹង? - វឌ្ឍនា ៖ គឺបន្តោងសោរដាក់រូបថត។ វឌ្ឍនាហុចបន្តោងសោរដាក់រូបថតមកអោយខ្ញុំ។ ខ្ញុំទទួលមកនៅនឹងដៃ ហើយសំលឹងមើលទៅម្ខាង មានរូបថតរបស់ខ្ញុំ គឺជារូបថត ដែលនាងសុំខ្ញុំកាលពីថ្ងៃមុនតើ។ ចុះរូបម្ខាងទៀតនោះជារូបនរណា? (នៅមានត) ……………………… (ក្រៅឆាក) - កូនជ្រូក ៖ ខ្ជិលណាស់ ទៅផឹកកាហ្វេម៉ាកែវសិន ព្រោះងងុយដេកតិចៗ។ - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ ងាប់ហើយ ធ្វើការអីក៏យឺតម្ល៉េះ។ នេះគេហៅថា ធ្វើការដៃមួយ យកលុយដៃពីរតើ។ - កូនជ្រូក ៖ កុំចេះតែថាណា មិនមែនត្រឹមតែដៃពីរទេ។ ការពិត ខ្ញុំរត់ថែមទាំងជើងពីរទៅកន្លែងគណនេយ្យទៀតណ៏ អោយតែដល់ថ្ងៃទី29។ - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ ???​ (គ្មានវាចារនឹងថ្លែង)

រឿង កាត់ចិត្តពីបង

ទាញយករឿង កាត់ចិត្តពីបង ……………………… មនុស្សប្រុស និងមនុស្ស ស្រី ពិតជាមានតំរូវការផ្លូវភេទ មិនដូចគ្នាមែនហ្អ? មិនដឹងដែរ នេះគ្រាន់តែជារឿងខ្លីមួយ ដែលកូនជ្រូក ដឹងពីបុរសម្នាក់ប្រាប់ប៉ុណ្ណោះ។ សូមទុកអោយអ្នកអាន ពិចារណាខ្លួនឯងទៅ។ ហេហេហេ ពី កូនជ្រូក7ពណ៌

រឿង កាត់ចិត្តពីបង

ទាញយករឿង កាត់ចិត្តពីបង ……………………… មនុស្សប្រុស និងមនុស្ស ស្រី ពិតជាមានតំរូវការផ្លូវភេទ មិនដូចគ្នាមែនហ្អ? មិនដឹងដែរ នេះគ្រាន់តែជារឿងខ្លីមួយ ដែលកូនជ្រូក ដឹងពីបុរសម្នាក់ប្រាប់ប៉ុណ្ណោះ។ សូមទុកអោយអ្នកអាន ពិចារណាខ្លួនឯងទៅ។ ហេហេហេ ពី កូនជ្រូក7ពណ៌

ហេតុអី បានជាមនុស្សប្រុសចូលចិត្ត ផា គ្នាម្ល៉េះ?

វាជារឿងគួរអោយចំលែកម្យ៉ាងដែរ។ កូនជ្រូក តែងសង្កេតឃើញថា មនុស្សប្រុស ដែលចូលចិត្ត ផា រឺ ឌឺ អោយគ្នា កាន់តែញឹកញាប់ គឺកាន់តែជាមិត្តជិតស្និទ្ធិនឹងគ្នា។ មិនដឹងដែរ ប្រហែលជាធម្មជាតិរបស់ប្រុសទេដឹង។ គេមិនសូវនិយាយសរសើរគ្នា តែចូលចិត្តបង្អាប់គ្នាវិញ។ ខុសពីមនុស្សស្រី ចូលចិត្តសរសើរគ្នា តែមិនចូលចិត្តបង្អាប់ ព្រោះដឹងថា មិត្តរបស់ខ្លួនមិនចូលចិត្តទទួលការបង្អាប់ទេ។ ដូចជាតាក្លូ ឧស្សាហ៍និយាយលេង មនុស្សមិនស៊ីជោរទេ តែបើបង្អាប់វិញ ខឹងដាច់ក្បាលដាច់កន្ទុយអីលូវ។ ចំលែកដែរប្រុសៗ តែក៏សូមសរសើរ ដែលចិត្តទូលាយ មិនប្រកាន់នឹងគ្នា។ ការរាប់អាន មនុស្សស្រី និងមនុស្សស្រី មានការគោរពគ្នាច្រើនជាង ការរាប់អានរវាងមនុស្សប្រុសនិងមនុស្សប្រុស តាំងពីពាក្យសំដី តាំងពីកាយវិការ។ វាម្យ៉ាងម្នាក់។ កូនជ្រូក មានទាំងពួកម៉ាកស្រី មានទាំងពួកម៉ាកប្រុស។ បើអារឿង ឌឺដង ផា អីហ្នឹង ចេះពីពួកម៉ាកប្រុសទេ ព្រោះធ្លាប់ស្ពឹកមុខជាច្រើនដង ដោយសារតែ ផា ចាញ់គេជាញឹកញាប់។ អាជំនាញ ផា ហ្នឹង ទាល់តែពូកែពីកំណើតដែរហ្នឹង បើមិនអ៊ីចឹង ក៏រកនឹក ឌឺ វិញមិនទាន់សភាពការ ក៏ស្ពឹកនៅហ្នឹងតាហ្មងទៅ។ ហេតុអីក៏ប្រុសចូលចិត្ត ផា ? ជួយឆ្លើយផង បានទេ? សំនួរពី កូនជ្រូក7ពណ៌

រឿង គ្មានសិទ្ធិ (3)



ឌុកដាក់ ឌុកដាក់ ឌុកដាក់ ខ្ញុំសឹងតែមិនចង់បង្វិលមើលម្ខាងទៀតនោះទេថា វាជារូបនរណា។ តែដៃតូចៗរបស់វឌ្ឍនា ក៏មកចាប់បន្តោងសោនោះ ហើយបើកម្ខាងទៀតអោយខ្ញុំមើល។ - វឌ្ឍនា ៖ រូបម្ខាងនេះ ទុកដាក់រូបរបស់សង្សារ សុទ្ធា ទៅ ព្រោះឃើញអង្គុយស្លុង នឹកគេជារាល់ថ្ងៃ។ ហាហាហា វឌ្ឍនានិយាយហើយ ក៏សើចយ៉ាងសប្បាយ ដូចជាមនុស្សមិនមានទុក្ខកង្វល់សោះ។ នាងជាមនុស្សពូកែគិតគូរដល់អ្នកដទៃមែន។ តែនាងដឹងដែរទេថា ការយកចិត្តទុកដាក់របស់នាង ធ្វើអោយបេះដូងរបស់ខ្ញុំនេះ ក្រលាប់ចាក់ មិនដឹងខុសមិនដឹងត្រូវ។ មានម្ចាស់ចិត្តរួចហើយ បែរជាមានរូបវឌ្ឍនាលាតពេញបេះដូងទៅវិញនោះ។ នាងដឹងទេថា ភាពជាមនុស្សស្រីគួរអោយខ្នាញ់ គួរអោយស្រលាញ់នេះ កំពុងធ្វើអោយ មនុស្សប្រុសម្នាក់ ដែលនាងចាត់ទុកត្រឹមជាមិត្តធម្មតានេះ សៅហ្មងរាល់ថ្ងៃនោះ។ នាងប្រហែលជាមិនដឹងអីនោះទេ ទើបបានជានាងនៅតែរក្សាបាន នូវស្នាមញញឹមមិនចេះហត់របស់នាង។ ខ្ញុំពិតជាពិបាកទ្រាំខ្លាំងណាស់។ នៅចំពោះមុខរបស់នាង ខ្ញុំត្រូវធ្វើខ្លួនអោយល្អ ជាមិត្តល្អ ជាមនុស្សល្អប្រពៃ គោរពនារី។ តែនាងដឹងទេថា ដៃតូចៗរបស់នាងនេះ គួរអោយចាប់កាន់យ៉ាងណា។ ដៃតូចៗមួយនេះ ហេតុអីក៏ត្រូវទៅកាន់ស្មាប្រុសៗដទៃផងនោះ។ នាងមានដឹងទេថា មនុស្សប្រុសចូលចិត្តបន្លំណាស់។ មានមិត្តប្រុសក្នុងថ្នាក់ខ្លះ ក៏ចាប់នាងអោបលេង តែធ្វើជារបៀបមិត្តភាព នាងក៏នៅតែញញឹម មិនប្រកាន់។ នាងមិនដឹងថា គេបន្លំ រឺក៏នាងធ្វើជាល្ងង់មិនដឹង ព្រោះនាងចូលចិត្តរបៀបនេះដែរ ជាពិសេស គឺសិរីបុត្រម្នាក់នោះ ដែលតែងតែចាប់កដៃរបស់នាងលេង រឺក៏កៀកស្មានាងលេង រឺក៏អោបនាងលេង ជាញឹកញាប់។ ឃើញម្តងៗ ខ្ញុំសឹងតែដាល់មុខអាមនុស្សពូកែបន្លំម្នាក់នេះទៅហើយ តែខ្ញុំគ្មានសិទ្ធិទេ។ ខ្ញុំគ្មានសិទ្ធិទេ។ - វឌ្ឍនា ៖ យ៉ាងម៉េចហ្នឹង គ្រាន់តែបន្តោងសោរមួយ ក៏ធ្វើមុខដូចជាចង់យំ? នែ នេះជាកាដូពីពួកម៉ាកធម្មតាទេ មិនចាំបាច់ចាត់ទុកថា វាពិសេសអីទេណា។ - សុទ្ធា ៖ ខ្ញុំ ខ្ញុំ - វឌ្ឍនា ៖ ដឹងហើយ ដឹងហើយ ថា ចង់អរគុណ តែមិនបាច់ទេ។ សំលេងក្រិកក្រឺងនៅនឹងបន្តោងកាបូបបន្លឺឡើងដោយសារតែខ្យល់បក់មក។ ខ្ញុំចាប់អារម្មណ៍ឃើញមានបន្តោងមួយថ្មីទៀត នៅលើកាបូបរបស់នាង។ វាមិនមានតែរូបសញ្ញាមែនឈេសស្ទ័រទៀតទេ។ វាជាបន្តោងថ្មីមួយ ដែលខ្ញុំស្គាល់មនុស្សក្នុងបន្តោងនោះច្បាស់។ វាជារូបរបស់នាង។ ចុះម្ខាងទៀត ជារូបរបស់នរណា? - វឌ្ឍនា ៖ ស្រលាញ់បន្តោង នៅលើកាបូបវឌ្ឍនាវិញហ្អ? ខ្ញុំគ្រវីក្បាល។ - វឌ្ឍនា ៖ ល្ងាចនេះ ទៅហែលទឹកទេ? - សុទ្ធា ៖ ទៅហែលនៅណា? - វឌ្ឍនា ៖ នៅវីអាយភី។ - សុទ្ធា ៖ នៅទីនោះថ្លៃណាស់។ - វឌ្ឍនា ៖ ថ្លៃបន្តិច តែទឹកវាស្អាតណាស់។ តែមិនអីទេ ចាំពេលពួកខ្ញុំទៅហែលនៅស្តាត ចាំបបួលសុទ្ធាទៅដែរ។ ខ្ញុំលឺនាងបបួល មានរឿងអីខ្ញុំមិនចង់ទៅ តែនេះដល់ចុងខែទៅហើយ មិនទាន់បានទទួលលុយម៉ែផ្ញើមកទៀតផង។ នេះ ខ្ញុំដាច់ខែ ដាច់ខ្យល់ ដូចតែចាស់ៗឧស្សាហ៍និយាយមែន។ ខ្ញុំមិនហ៊ានចាយផ្តេសផ្តាសទេ ព្រោះម៉ែពុករកលំបាកណាស់ ទំរាំបានផ្ញើមកម្តងៗ។ ដើម្បីសងគុណពួកគាត់ ខ្ញុំមានតែខំរៀនតែមួយមុខ។ សង្ឃឹមថា ចប់មហាវិទ្យាល័យ នឹងរកបានការងារល្អ ជួយរកប្រាក់ចំណូលចូលផ្ទះវិញ។ - សិរីបុត្រ ៖ វឌ្ឍនា ល្ងាចនេះ មានតែយើងពីរនាក់ទេ អាគី អាធី អារដ្ឋ អី ពួកវាមិនទំនេរទេ។ មានតែវឌ្ឍនា និងសិរីបុត្រ ទៅហែលទឹកតែពីរនាក់រឺ? បើទុកឱកាសអោយគេនៅតែពីរនាក់បែបនេះ មិនដឹងជាសិរីបុត្រនេះ នឹងបន្លំវឌ្ឍនាប៉ុណ្ណាទេ។ ខ្ញុំគួរតែទៅ យ៉ាងហោចណាស់ ក៏មិនអោយសិរីបុត្រធ្វើផ្តេសផ្តាសដាក់វឌ្ឍនាដែរ។ ទោះជាខ្ញុំមិនមែនទៅ ក្នុងឋានៈជាសង្សារ ដើម្បីហួងហែងនាង តែជាវត្តមានរបស់ខ្ញុំ អាចជួយការពារមិត្តល្អរបស់ខ្ញុំម្នាក់នេះ ពីក្រញ៉ាំរបស់កញ្ជ្រោង សិរីបុត្រនេះបាន។ បញ្ហាត្រង់ ខ្ញុំបានលុយមកពីណា នឹងទៅបង់ថ្លៃហែលទឹកនេះ? (នៅមានត) …………………….. (ឈុតក្រៅឆាក) នៅទីស្នាក់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ទស្សនាវដ្តី កូនសោរជីវិត។ - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ កូនជ្រូក ដេកលក់ ទៀតហើយ? ងាប់ហើយ សរសេរបានតែបន្តិច ដេកលើកុំព្យូទ័រទៅហើយ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ កុំមាត់ លឺថា យប់មិញ រវល់តែទៅប្រជុំ​ នៅសមាគមនារីសំបូរសាច់។ ដាច់យប់ ទើបបានជាមកដេកលក់ពេលថ្ងៃអាចឹង? - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ តែអ្នកអាន កំពុងតែតាមដានណា។ បើយ៉ាងនេះៗ ច្បាស់ជាបាត់អ្នកអានរបស់ទស្សនាវដ្តី កូនសោរជីវិត អស់ហើយ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ ចុះមិនចេញរឿងរបស់តាក្លូមុនទៅ? - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ កុំនិយាយពីតាក្លូ តាំងពីទៅដកមេមក មិនទាន់ឃើញត្រលប់មកវិញទេ ថ្មើណេះហើយ។ ច្បាស់ជាបិទទ្វារមិនខានទេ ទស្សនាវដ្តី កូនសោរជីវិត នេះ។ រួចរឿងរបស់ អគ្គលីបុត្រនោះ សរសេរហើយនៅ នឹងអាលបោះពុម្ពផ្សាយ? - អគ្គលីបុត្រ ៖ ហេហេហេ - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ អាញឹមស្អី? អូនេះ ច្បាស់ជាមិនទាន់ហើយទេ មែនទេ? - អគ្គលីបុត្រ ៖ អឺ គឺ។ និយាយអ៊ីចឹង នៅសមាគមនារីសំបូរសាច់នោះ គេប្រជុំពីអីខ្លះទៅ? - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ ម៉េចក៏ចង់ដឹង? - អគ្គលីបុត្រ ៖ នោះមើលកូនជ្រូក មមើលចុះ លឺតែ សំលាប់ៗៗៗ - អ្នកចាត់ការបោះពុម្ពផ្សាយ ៖ ???

ទស្សនាវដ្តី


នៅទីស្នាក់ការ ទស្សនាវដ្តី កូនសោរជីវិត។ តុក តុក តុក - អគ្គលីបុត្រ ៖ ចុះនរណាមក? កូនជ្រូកទៅបើកទ្វារមើល៍! - កូនជ្រូក ៖ ខ្ជិលណាស់ ទៅបើកខ្លួនឯងទៅ! អគ្គលីបុត្រ ក៏ចេញទៅបើកទ្វារ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ តាក្លូ!!! រួចម៉េចក៏មិនបើកទ្វារខ្លួនឯង? - តាក្លូ ៖ បើក ម៉េច បើដៃបើក មានដល់ទៅពីរ មិនដឹងបើកអាមួយណា។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ ចេះតែថា មានតែមួយតើ។​ នេះ គឺដៃបើក។ មួលតែតិច ក៏បើកបានហើយ។ - តាក្លូ ៖ ស្អី មានពីរជាប់គ្នាទៀត។ ភ្នែកឯង ម្ញ៉ូប ហ្អ? បានជាឃើញតែមួយ។ អគ្គលីបុត្រ ហិតក្លិន ជាប់ខ្លួនតាក្លូ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ ងាប់ហើយ ស្អុយស្រាអោយហួង។ នេះច្បាស់ជាទើបមកពីដកមេទៀតហើយ។ អាចឹងតើ បានជាឃើញដៃបើកទ្វារ ដល់ទៅពីរ។ តាហ្នឹងហើយ ស្រវឹងដល់កហើយ បានជាចឹង។ - តាក្លូ ៖ ហាហាហា មិនមែនទេ។ ភ្នែកចាស់ ជួនកាលស្រវ៉ាំងចឹងហើយ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ មិនដឹងជាស្រវ៉ាំង រឺស្រវឹងទេ។ សំលេងទូរស័ព្ទអគ្គលីបុត្ររោទ៍ឡើង។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ អាឡូ។ អឺ អញ។ ស្អីគេសង្សាររត់ចោល? ផឹកនៅណា? ជិតអាលីយ៉ង់? អើ ចាំដល់ម៉ោងចេញពីធ្វើការ អញទៅ។ អើ។ បានហើយ។ អគ្គលីបុត្រ ដាក់ទូរស័ព្ទចុះ។ ងាកមុខឆ្វាច់ ឃើញកូនជ្រូកធ្វើមុខស្ញេញបញ្ចេញធ្មេញម៉ាក្រាសដាក់។ ឯតាក្លូ ញញឹម ព្រមទាំងភ្នែកមានពន្លឺព្រេចៗៗ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ មិនអោយទៅតាមទេ មិនចាំបាច់ធ្វើមុខចឹងទេ។ - តាក្លូ ៖ ទៅដែរ ណា ណា ។ ពួកម៉ាកខូចចិត្តចឹង ច្បាស់ជាចង់ផឹកហើយ។ នេះតាអ៊ិចស្ពើតខាងផឹក អាចកំដរបានម៉ាសេរី។ ណា ណា ណា ។ ចៅឯងមិនសូវចេះផឹកទេ ទុកអោយតាកំដរពួកម៉ាកដែរទៅ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ ក៏បាន។ តែកូនជ្រូក គ្មានផ្លូវទេ។ - កូនជ្រូក ៖ ម៉េចចឹង? អោយតាក្លូទៅ អត់អោយកូនជ្រូកទៅ មាននរណាឆីសាច់ក្លែមនោះ។ ច្បាស់ជាសល់ចោលហើយ។ អ្នកផឹកមិនសូវឆីអីផងហ្នឹង។ ណា ទៅដែរណា ណា ណា។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ មិនបានទេ។ នរណាមានលុយចេញថ្លៃម្ហូបសំរាប់ឯងនោះ ស៊ីមើលតែជ្រូក។ - កូនជ្រូក ៖ បើមិនអោយទៅ តេប្រាប់សង្សារបុត្រថា បុត្រទៅស៊ីផឹក អត់សន្សំលុយសំរាប់ ចូលដណ្តឹងនាង រៀបការទេ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ បាន បាន យាយប៉ិនោះ កាចផង តែមិនស្រួលបានស៊ីពីរពិលមិនខានទេអញ។ - កូនជ្រូក ៖ ហេហេហេ មិនដឹងជាស្រមៃដល់ណាទេ នាងកូនជ្រូក ហៀរទឹកមាត់បណ្តើរៗបាត់ទៅហើយ។ ចូលក្នុងហាងស៊ីផឹកមួយ នៅជិតអាលីយ៉ង់ ក្បែរអូរឫស្សី។ អគ្គលីបុត្រ នាំនាងកូនជ្រូក និងតាក្លូ ចូលទៅតុមួយ ដែលមានកំលោះម្នាក់អង្គុយនៅនោះ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ នេះសាម៉ាឌី។ សាម៉ាឌី នេះ តាក្លូ និងកូនជ្រូក។ - សាម៉ាឌី ៖ នឹងរឺ កូនជ្រូក? អ្នកសរសេររឿងស្នេហានោះ? - អគ្គលីបុត្រ ៖ នឹងហើយ។ យ៉ាងម៉េច ក៏ធ្វើមុខភ្ញាក់ផ្អើលម៉េះ ហ្អា? - សាម៉ាឌី ៖ ក្រែងថា កន្ធីងកន្ធាត់ណាស់នោះ? - អគ្គលីបុត្រ ៖ វាត្រូវ ចៅហ្វាយកាត់ប្រាក់ខែពាក់កណ្តាល ព្រោះវាកុំម្មង់ភីស្សាច្រើនពេក ពេលធ្វើការហួសម៉ោង បានជាវាស្រកសាច់អស់ជាង10គីឡូហ្នឹង។ - សាម៉ាឌី ៖ ចឹងហ្អ? សាម៉ាឌីរអ៊ូរទាំរឿងរ៉ាវស្នេហារបស់គេអោយអគ្គលីបុត្រស្តាប់។ តាក្លូ គិតតែពីហៅប៊ីយែរ និងលើកដាច់។ កូនជ្រូកគិតតែពួយសាច់ក្លែម មិនខ្ចីរវល់ស្តាប់អីទេ។ - សាម៉ាឌី ៖ អញអស់អីអួតទៀតហើយ អាបុត្រអើយ។ គេនឹងរើសម្នាក់នៅស្រុកក្រៅនោះហើយ ព្រោះប្រាក់ខែគេច្រើនអស់ស្ទះ។ - អគ្គលីបុត្រ ៖ កុំភ័យ​ពួកម៉ាក! មាន​ច្រើនណាស់ ចង់បានលេខទូរស័ព្ទ ទៅយកនៅ​ផ្ទះ​អញទៅ ចង់បានអាម៉ាកណា​ក៏បានដែរ! មានម៉ាកំផ្លេរ ចង់ម៉ាអាទិត្យ ម៉ាខែ ឬ​ម៉ាង៉ៃ ក៏មានដែរ! - សាម៉ាឌី ៖ កុំនិយាយលេងមើលអានេះ។ អញនិយាយមែនណា។ អញស្រលាញ់ម្នាក់ហ្នឹងណាស់ ចង់ការជាពីពន្ធទៀត តេសួរម៉ែគេបងស្រីគេ ក៏ដឹងរឿងថា គេម្នាក់នឹងមានកង់សាគួរបីបួនចឹងទៅ។ អញខូចចិត្ត ជាងគេ ត្រង់ ម៉េចក៏គេមិនប្រាប់អញផ្ទាល់មាត់។ ចាំដល់អញទៅដឹងរឿងហ្នឹង ពីគ្រួសាររបស់គេវិញ ចឹង? កូនជ្រូកខោកក្បាលរបស់សាម៉ាឌីម៉ាដៃ។ - កូនជ្រូក ៖ បើសិនគេប្រាប់ឯង ម៉េចនឹងបានឯង ធ្វើជាកង់ស្រគួរមួយទៀតរបស់គេ។ សួរពភ្លើចឹងកើត។ ហើយកូនជ្រូកក៏បន្តឆីអាហារទៀតទៅ។ - តាក្លូ ៖ ម៉ោះ ចៅ លើកដាច់មួយសិន! ខ្វះអីស្រីនោះ? រកមួយទៀតទៅចៅស៊ីម៉ាដាមអ៊ើយ​! កុំគិតពិបាកចិត្តខ្លាំងពេកនាំតែខូចសំរស់ ជាប្រុសស្អាតសង្ហារ មានមន្តស្នេហ៏ទេ។ ចៅសាម៉ាឌីគួរតែអបអរសាទរ និងជូនពរនាងវិញទៅ​ ឲ្យនាងមានសុភមង្គល និងសេចក្តីសុខក្នុងជីវិតក្រោយពេលរៀបការ។ កុំគិតច្រើនពេកចៅតា ធ្វើម៉េចបើព្រេងវាសនាតំរូវឲ្យចៅនិងនាងបានស្គាល់គ្នានិងមាននិស្ស័យជាមួយគ្នាត្រឹមតែប៉ុណ្ណឹងនោះ។ តាក្លូ ក៏លើកដាច់ជាមួយសាម៉ាឌី និងអគ្គលីបុត្រ។ មិនយូរប៉ុន្មាន តាក្លូ និងអគ្គលីបុត្រ ក៏ដួលភីង ក្រាបលើតុ។ តែសាម៉ាឌី មិនទាន់ស្រវឹង ប្រហែលមកពីស្រវឹងស្នេហ៍ខ្លាំងជាងស្រវឹងស្រាហើយ។ - សាម៉ាឌី ៖ កូនជ្រូកហ្អា? កូនជ្រូកសរសេររឿងស្នេហាច្រើនចឹង ដឹងខ្លះហើយពីរឿងហ្នឹង។ សុំសួររឿងមួយ។ - កូនជ្រូក ៖ សួរម៉ោ។ កូនជ្រូកឆ្លើយមែន តែមាត់នាងគ្មានទំនេរទេ។ សាច់គោឆាអង្ក្រងអីហ្នឹង អស់ពីរចានតែម្នាក់ឯងហើយ។ - សាម៉ាឌី ៖ ម៉េចបានជាស្រីៗចិត្តអាក្រក់ទៅរកប្រុសពីរបីធ្វើជាកង់សាគួរចឹង? - កូនជ្រូក ៖ ចង់ស្តាប់ពាក្យលួងលោម រឺក៏អោយនិយាយការពិត។ - សាម៉ាឌី ៖ និយាយពាក្យលួងលោមមុនមក! - កូនជ្រូក ៖ ស្រីម្នាក់ហ្នឹង ជាព្រានបុរស។ ដូចនេះ កាត់ចិត្តពីនាងទៅ! ឯងជាប្រុសល្អ ប្រាកដជានឹងជួបស្រីល្អជាងនេះ។ - សាម៉ាឌី ៖ ចុះការពិតវិញនោះ? - កូនជ្រូក ៖ ករណីទីមួយ មកពីមនុស្សស្រីម្នាក់នោះ មិនទុកចិត្តមនុស្សប្រុសណាម្នាក់សោះ ក្នុងចំណោមសង្សាររបស់នាងទាំងប៉ុន្មានគ្រឿងហ្នឹង។ ប្រសិនបើបាត់មួយ នាងនឹងនៅសល់មួយទៀត។ - សាម៉ាឌី ៖ ករណីទីពីរនោះ? - កូនជ្រូក ៖ ករណីទីពីរ មកពីស្រីម្នាក់នោះ មិនដឹងថា ខ្លួនស្រលាញ់ប្រុសប្រភេទណាអោយប្រាកដ។ ជាប្រុសរ៉ូម៉ង់ទិក រឺជាប្រុសមានលុយ រឺជាប្រុសមិនរ៉ូម៉ង់ទិក រឺក៏ជាប្រុសពូកែកំប្លែង រឺជាប្រុសឆ្លាត រឺជាប្រុសឯករាជ្យ រឺជាប្រុសស្អាត រឺជាប្រុសល្ងង់ រឺជាប្រុសមិនចេះនិយាយ រឺជាប្រុសនិយាយច្រើន រឺជាប្រុសចេះផឹក រឺជាប្រុសមិនចេះផឹក រឺជាប្រុសរាក់ទាក់ រឺជាប្រុសមិនសូវរាក់ទាក់ រឺជាប្រុសចេះគិត រឺជាប្រុសពូកែចាយ រឺជាប្រុសគោរពសិទ្ធិស្រី រឺជាប្រុសព្រាននារី រឺជាប្រុសមិនចេះជក់បារី រឺជាប្រុសជក់បារី ។ល។និង។ល។ និយាយចំ ខ្លួននាង ក៏មិនទាន់ស្គាល់ចិត្តខ្លួននាងច្បាស់ផងទេ ហើយក៏មិនដឹងថា នាងចង់បានបុរសប្រភេទណា យកមកនៅជាមួយនាងអស់ម៉ាជីវិត។ នាងក៏សាកល្បងសេពគប់ជាមួយប្រុសគ្រប់ប្រភេទ ដើម្បីរើសយកនរណាម្នាក់ ដែលត្រូវចិត្តនាងពិតប្រាកដ។
- សាម៉ាឌី ៖ ស្អីហ្អា? ម្ចាស់ខ្លួនអី មិនស្គាល់ខ្លួនឯងច្បាស់នោះ? ស្អីក៏រញ៉េរញ៉ៃម៉្លេះ? - កូនជ្រូក ៖ ចុះឯងស្គាល់ខ្លួនឯងច្បាស់នៅហ្នឹង? បានជានិយាយថា អោយគេនោះ។ - សាម៉ាឌី ៖ ស្គាល់ច្បាស់ គឺ? ចុម គឺស្អីចេះ?
- កូនជ្រូក ៖ គឺស្អី? ឯងទៅដេកគិតមើលសិនទៅថា ឯងជាប្រុសប្រភេទណា អោយប្រាកដ។ ហើយតើស្រីប្រភេទណា សមនឹងឯងបំផុត។ បើឯងស្គាល់ខ្លួនឯងច្បាស់ ឯងនឹងរកសង្សារលើកក្រោយមិនខុសទេ។ ប្រសិនបើឯងនៅតែមិនទាន់ស្គាល់ខ្លួនឯង ដេកយល់សប្តិទៅថា នឹងរកបានសង្សារមួយត្រូវចិត្តខ្លួន ហើយនឹងមិនខូចចិត្តជាលើកទីពីរនោះ។ ឯងច្បាស់ជានឹងខូចចិត្តច្រើនដងទៀត បើឯងមិនដឹងថា នារីប្រភេទណា សមនឹងខ្លួនឯង។ - សាម៉ាឌី ៖ មិនយល់ទេ។ - កូនជ្រូក ៖ មិនយល់ ក៏ហីទៅវើយ។ អូនៅមានម៉ាករណីទៀត។ មានស្រីខ្លះ គឺចូលចិត្តអោយប្រុសៗប៉ាវ គឺដូចជាយើងចឹង។ អរគុណសំរាប់អាហារម៉ាពេលនេះ។ បាយ បាយ។
កូនជ្រូកគ្រាអគ្គលីបុត្រ និងតាក្លូ ដើរចេញទៅ។ ទុកសំណល់ចានម្ហូបម៉ាគំនរអោយសាម៉ាឌីចេញលុយអោយ។ - សាម៉ាឌី ៖ ប្រាក់ខែអញខែនេះ? អាលាយម៉ត់អស់ហើយ។